xs
xsm
sm
md
lg

[เซเลบแฝด] สุรศักดิ์ & สุรชัย นิตติวัฒน์ “คู่แฝดหยิน-หยาง” แตกต่างอย่างลงตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

หนุ่ม-สุรชัย นิตติวัฒน์ และ หนึ่ง-สุรศักดิ์ นิตติวัฒน์
11th Anniversary Celeb Online Magazine
ในโอกาสครบรอบ 11 ปี พบกับสัมภาษณ์พิเศษเซเลบริตี้คู่แฝดที่ประสบความสำเร็จ 11 คู่ ตลอดเดือนตุลาคมนี้

>>หนุ่มหล่อมาดภูมิฐานคู่นี้เป็นเจ้าของฉายา “คู่แฝดพันล้าน” เจ้าของ Energy Reform ธุรกิจปฏิวัติพลังงานที่เริ่มต้นจากเทคโนโลยีแก๊สติดรถยนต์มูลค่าหลายพันล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากสองมันสมองและสี่มือของเขาทั้งคู่ บวกกับสไตล์การทำงานที่แตกต่างแต่กลับช่วยสร้างความสมดุลให้ธุรกิจก้าวไปได้อย่างมั่นคง

แม้หน้าตาของ “หนึ่ง-สุรศักดิ์” และ “หนุ่ม-สุรชัย นิตติวัฒน์” ฝาแฝดแท้จะเหมือนกันมาก แต่คาแรกเตอร์ของทั้งคู่กลับต่างอย่างสังเกตได้ชัด โดยหนึ่งจะออกแนวสนุกสนานและขี้เล่น ขณะที่หนุ่มจะมีความนิ่งสุขุมกว่า

ทั้งคู่เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังว่า เติบโตและร่ำเรียนอยู่เคียงข้างกันมาตั้งแต่เกิดจนขึ้นมัธยม 3 แล้วจึงแยกสายไปเรียนคนละทาง โดยหนุ่มเล่าว่า “ตอนอยู่ด้วยกัน เราตัวติดกันมาก ชอบอะไรเหมือนกันแทบทุกอย่าง กินเหมือนกัน เที่ยวเหมือนกัน เพื่อนก็กลุ่มเดียวกัน ทุกอย่างมาแบบแพ็กคู่ตลอด จนพอมาแยกกันไป เราถึงเริ่มมีตัวตนในแบบของตัวเอง ตั้งแต่เรียน ม.ปลาย เข้ามหาวิทยาลัย จบมาก็ทำงานต่างกัน ผมเรียนนิติศาสตร์ทำงานกฎหมาย ส่วนเขาเรียนพาณิชย์แล้วต่อปริญญาด้านการบริหารธุรกิจ”

จนอายุประมาณ 30 ปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลาออกมาก่อตั้งธุรกิจด้วยกัน โดยช่วงนั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจฝืดเพราะราคาน้ำมันพุ่งสูง แต่พวกเขากลับมองเห็นโอกาสแล้วรีบคว้าไว้

“ผมและหนุ่มมีความคิดอยากจะทำธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว ก็ได้ลองศึกษาธุรกิจหลายๆ อย่างทั้งเรื่องอสังหาริมทรัพย์ หรือเรื่องพลังงานทดแทน พอมาเจอวิกฤตน้ำมันแบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดเรามากขึ้นว่าธุรกิจเรื่องพลังงานน่าสนใจ ซึ่งขณะนี้ผมทำงานเป็นเซลส์ให้กับค่ายรถยนต์เลกซัส รับผลกระทบเต็มๆ จึงถือจังหวะลาออกมาเปิด Energy Reform”
หนุ่ม-สุรชัย นิตติวัฒน์ และ หนึ่ง-สุรศักดิ์ นิตติวัฒน์
สมัยนั้นรถที่ติดแก๊สมีแต่แท็กซี่ เราเป็นเจ้าแรกๆ ที่บุกเบิกตลาดรถส่วนบุคคล “การใช้แก๊สแทนน้ำมันมันช่วยประหยัดไปได้เยอะมาก แต่กลับมีแต่แท็กซี่ที่ใช้ รถคนทั่วไปไม่ติดนั่นเพราะการติดแก๊สในสมัยนั้นยังไม่มีมาตรฐาน ต้องไปติดตามอู่บริการแท็กซี่หรืออู่เล็กๆ ทำให้รู้สึกไม่ไว้ใจ ซึ่งถ้าเราแก้ปัญหา ตอบโจทย์ตลาดตรงนี้มันจะประสบความสำเร็จแน่นอน” หนึ่งกล่าวต่อ

จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มแบ่งงานกันตามถนัด โดยฝ่ายหนุ่มเน้นหาข้อมูล ว่าเทคโนโลยีของที่ไหนน่าสนใจ บริษัทใดดีสุด แล้วก็ทำการติดต่อกับต่างประเทศ ส่วนหนึ่งดูวิเคราะห์การตลาด คู่แข่งในประเทศ ค้นหาจุดอ่อนจุดแข็ง มองหาช่องทางใหม่ๆ ในการเจาะตลาด

“พวกผมเริ่มต้นธุรกิจกันเอง ไมได้สืบต่อมาจากรุ่นพ่อแม่ ประสบการณ์เราน้อยไม่ได้มีใครคอยสอนต้องอาศัยเรียนรู้จากความผิดพลาด ตอนนั้นเรามัวแต่ดีใจกับยอดขาย โดยไม่ทันคิดว่ามันคือการโปรโมตให้เขา พอดังแล้วเจ้าอื่นๆ ก็ขายแข่ง เพราะถึงแม้เราเป็นผู้จัดจำหน่ายหนึ่งเดียวในไทย แต่บริษัทอื่นเขาก็ไปซื้อประเทศอื่นเอาเข้ามาขายแข่งกับเรา โดยอาศัยการทำแบรนด์ของเรา” หนุ่มกล่าว

หนึ่งบอกว่า ตอนนั้นทำให้เรารู้ว่า ทำงานใต้แบรนด์คนอื่นมันทำได้ไม่ยั่งยืนหรอก เราต้องมีแบรนด์ของตัวเอง โดยเป็นการจ้างเขาผลิตแทน คือเครื่องยนต์ นวัตกรรมยังเหมือนเดิม แต่ให้ผลิตและขายในแบรนด์ของเราเอง ตอนแรกทางนั้นก็แสดงความเป็นห่วงว่า แบรนด์เราเป็นแบรนด์ใหม่ คนไม่รู้จักจะเชื่อถือไหม จะขายได้เหรอ แต่เรามั่นใจในการทำงานของเราก็ตัดสินใจเดินหน้าเต็มที่

จากความสำเร็จในเรื่องแก๊สติดรถยนต์ ฝาแฝดพันล้านคู่นี้ก็ไม่ได้หยุดการพัฒนา แต่เดินหน้าสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยทุกวันนี้ธุรกิจของเขาแบ่งออกมาเป็น 3 ส่วน คือ 1.ด้าน power gas solution ทั้งติดตั้งและให้การดูแลอย่างครบสูตร รวมถึงสร้างศูนย์บริการที่พร้อมจะบริการรถทั่วไปไม่เฉพาะแค่รถที่ติดแก๊สเท่านั้น 2.น้ำมันเครื่อง Energy one และท้ายสุดคือ ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ที่กำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการปลายปีนี้

“เราแตกไลน์ธุรกิจมาทำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ชื่อ Energy reform solar โดยนำเข้าจากเยอรมัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้” ทางหนุ่มเสริมว่า “เพราะปรัชญาในการทำงานของเราคือการหาสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอ ถ้าของไม่ดีเราไม่ทำดีกว่า ราคาถือเป็นเรื่องรอง คุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงไม่เคยมองหาซัปพลายเออร์จากจีนหรือที่อื่น มุ่งหาแต่ที่ประเทศชั้นนำทางนวัตกรรมเท่านั้น”

ธุรกิจด้านพลังงานแสงอาทิตย์ นับเป็นธุรกิจใหม่ที่กำลังมาแรง และนับเป็นทิศทางแห่งอนาคต โดยทั้งคู่เล็งว่าใช้เครือข่ายของศูนย์ Energy reform ที่มีกระจายอยู่กว่า 20 ศูนย์ทั่วประเทศมาช่วยสานต่อธุรกิจใหม่นี้ด้วย

หนึ่งกล่าวว่า “ธุรกิจนี้คือทิศทางแห่งอนาคต เวลาเราจะลงมือทำอะไร เราจะมองว่ามันเป็น Smart Business ไหม คือเราไม่อยากทำแค่ขายสินค้า แต่เรามองหาเทรนด์ใหม่ๆ เสาะหาสิ่งที่แตกต่างท้าทายและช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ได้ ผมไม่อยากเดินตามรอยเท้าใครมากนัก อยากสร้างทางเดินของเราเอง”
หนุ่ม-สุรชัย นิตติวัฒน์
หนุ่มเสริมว่า “อย่างชื่อบริษัทก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า เรามองการณ์ไกลไปถึงเรื่องการปฏิรูปพลังงาน ไม่ใช่เพียงแก๊สรถยนต์เท่านั้น ถึงได้ใช้ชื่อว่า Energy Reform เพราะมันยังมีพลังงานทางเลือกอีกมากมายที่น่าสนใจ อย่างเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์เราสนใจมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ตอนนั้นทุกอย่างมันยังไม่พร้อม ทั้งนวัตกรรมและค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะก็ต้องพับไว้ก่อน”

“เพราะสิ่งที่เราขาย มันเป็นการขายเหตุผล อย่างเรื่องแก๊สที่ติดเพราะลดค่าน้ำมัน เรื่องโซลาร์เซลล์ ก็ใช้ลดค่าไฟเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ระยะยาว เราก็ต้องดูความคุ้มค่าเป็นหลัก ไม่ใช่ขายแบบ Emotional เหมือนของแฟชั่น หรือนาฬิกา ที่คนซื้อเพราะสวย ซื้อเพราะชอบ”

หัวใจหลักที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จต้องยกให้กับความแตกต่างที่เสริมกันได้อย่างลงตัวของทั้งคู่ “ขณะที่ผมจะออกแนวคอนเซอร์เวทีฟ คือเป็นฝ่ายรับ มองดูว่า Worst Case Scenario ละเอียด ค่อยๆ คิดตัดสินใจ แต่หนึ่งจะเป็นพวกทีมบุก คือบู๊ ลุยไปข้างหน้า ทำอะไรเร็วกว่า มันเลยช่วยสร้างสมดุลกัน คอยดึงกันและกันไปในทิศทางที่เหมาะสม”

ฝ่ายทีมบุกกล่าวเสริมว่า “การทำแบบนี้อาจจะทำให้เราก้าวช้าไปบ้าง เพราะต้องอาศัยการตัดสินใจของสองคน ไม่เหมือนเจ้าของธุรกิจคนเดียวที่คิดแล้วลงมือทำได้เลย แต่นี่คือมีอะไรก็ต้องปรึกษากัน มันช้ากว่าหน่อยแต่ได้ความละเอียดมากขึ้น มองรอบด้านมากขึ้น ความผิดพลาดน้อยลง ก้าวไม่เร็วมากแต่มั่นคงกว่าครับ”

คิดเห็นคนละสไตล์แบบนี้ การถกเถียงกันแล้วใครมักเป็นฝ่ายชนะ? คุณหนึ่งบอกว่า “เราไม่เคยเก็บสถิตินะ น่าจะผลัดๆ กันชนะ ทุกอย่างเราดูกันที่ข้อมูล ใครให้เหตุผลดีกว่าอีกฝ่ายก็รับฟังนะครับ”

นั่นก็เพื่อข้อสรุปในการทำงานที่ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของบริษัทที่ทั้งสองตั้งใจสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองนี้
หนึ่ง-สุรศักดิ์ นิตติวัฒน์
Same Same but Difference

ทั้งคู่ชอบเล่นกีฬาประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตีกอล์ฟ, สกี หรือกีฬาทางน้ำประเภทต่างๆ ชอบดูหนัง ฟังเพลงสไตล์เดียวกัน ชอบเรื่องรถยนต์ หรือเมนูอาหารก็ชอบคล้ายกัน สำหรัลสิ่งที่แตกต่างของทั้งคู่แบบสุดขั้วนั่นคือการแฟชั่นการแต่งตัว

โดยหนึ่งบอกว่า “ผมจะแต่งตัวมีสีสัน ชอบแบบสดใส อย่างวันทำงานอาจจะเชิ้ต สูท เรียบร้อยตามกาละเทศะ แต่ถ้าวันหยุดจะแต่งตัวสบาย จะเฮ้วกว่านี้เยอะ”

หนุ่มช่วยแฉต่อว่า “เขาชอบแต่งเหมือนวัยรุ่นโดยไม่ดูวัยตัวเองเลย ส่วนผมจะแต่งเรียบๆ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ว่าวันนี้ที่เห็นเสื้อสีเหมือนกันนี้ไม่ได้ตั้งใจนะครับ หยิบมาชนกันเองโดยไม่ได้นัดหมาย(หัวเราะ)”

หนึ่งเสริมว่า “เป็นแบบนี้บ่อยครับ ใส่เสื้อสีเดียวกัน หรือบางครั้งก็ร้องเพลงท่อนเดียวกันออกมาพร้อมกันก็มี หรือบางที่คุยถึงอดีตแล้วก็นึกถึงภาพเดียวกันเลย คือสามารถเล่าต่อกันได้รู้ว่าในหัวอีกฝ่ายคิดถึงอะไร” :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น