ด้วยความเป็นทายาทรุ่น 3 ที่มาพร้อมกับภารกิจสำคัญคือ การ “ต่อยอด” อาณาจักร เดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ผู้ใหญ่บุกเบิกไว้ดีแล้ว ให้ดียิ่งขึ้นนั้น นับเป็นความท้าทายเลือดใหม่ที่ชื่อ “ลูกหมู-วิภา อัมพุช” เธอใช้ระยะเวลา 5 ปีกว่า ที่ก้าวเข้ามาทำงานใต้ร่มเงาเดอะมอลล์ ในตำแหน่งปัจจุบันคือ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป
วัยเยาว์ของ “ลูกหมู” แม้จะไม่ได้ถูกสอนให้เรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจการค้าอย่างจริงจัง หากแต่การได้ติดตามพ่อสุรัตน์ อัมพุช ไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ เกือบทุกวัน ทำให้เธอซึมซับรับรู้เรื่องการทำธุรกิจแบบชนิดไม่รู้ตัว จนเมื่อเติบโตเรียนจบปริญญาตรีด้านบริหารจาก Roehampton University ประเทศอังกฤษ ได้เวลาต้องเดินทางกลับเมืองไทย เธอจึงเริ่มมองหาลู่ทางการทำงานของตนเองทันที ซึ่งงานที่เธอมองหานั้น ไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่โตในเดอะมอลล์ หากแต่ขอเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆ ที่สร้างจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองเท่านั้น
“อยากทำธุรกิจที่เป็นของเราจริงๆ ตอนนั้น คุณแม่ (นันท์นภัส) มีที่ดินที่ภูเก็ต เลยตัดสินใจขอทำรีสอร์ต ทำเองทุกอย่างค่ะ ตั้งแต่วิ่งหาช่าง วิ่งซื้อปูน ออกแบบตกแต่งภายใน พอเปิดให้บริการแล้วก็นั่งทำบัญชี สั่งซื้อของทั้งของห้องพักและห้องอาหาร จนวันหนึ่ง อาแอ๊ว (ศุภลักษณ์ อัมพุช) ไปเที่ยวที่รีสอร์ท แล้วชอบ อาแอ๊วก็บอกว่าทำได้ดี น่ารัก ทำไมไม่มาช่วยทำห้างดูบ้าง ตอนนั้นรีสอร์ตก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เลยตัดสินใจกลับมาช่วยงานที่ห้างค่ะ” ลูกหมูเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้ามาร่วมงานในฐานะเจนเนอเรชันที่ 3 ของ “อัมพุช”
แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงลูกหลานเจ้าของเดอะมอลล์ กรุ๊ป แต่ถ้าจะเข้ามาทำงานที่เดอะมอลล์ “ลูกหมู” ต้องผ่านขบวนการคัดเลือกเหมือนคนอื่น โดยการเข้ามาเขียนใบสมัครงาน ต้องผ่านการพูดคุยกับ แอ๊ว-ศุภักษณ์ ไม่ใช่จะมาแบบลูกหลานผู้บริหารที่อื่นๆ ทำกัน คือเดินทางลัดเข้ามานั่งบริหารงานได้เลย
ผมบ๊อบสั้นคล้ายเห็ด เข้ากันดีกับใบหน้าขาวใสและดวงตากลมดำขลับของเธอ... ลูกหมูเหม่อมองไปข้างหน้าเพื่อย้อนรำลึกถึงคำสอนของ “สุรัตน์” ผู้เป็นพ่อ ที่สอนเธอตอนนั้นว่า การเขียนใบสมัครงาน เท่ากับเป็นการเตือนใจและยังแสดงความจำนงให้เห็นว่า พร้อมแล้วที่จะทำงาน ความยากตรงนั้น สอนให้เธอรู้จักตัวเองว่า เธอก็เป็นเหมือนพนักงานคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีสิทธิพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น
งานแรกที่ “ศุภลักษณ์” มอบหมายให้หลานสาวทำคือ ให้ดูงานด้าน Corporate Image ของเดอะมอลล์ ซึ่งลูกหมูต้องเรียนรู้ในทุกส่วน ต้องเข้าประชุมกับผู้บริหารเดอะมอลล์ทุกสาขา เพื่อจะได้รู้จักทุกคนในแต่ละแผนก โดยหน้าที่หลักคือ ดู “บีเทรนด์” ซึ่งเป็นแผนกที่มีสินค้าหลากหลายมาก “อาแอ๊วบอกว่าถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ เวลาย้ายไปทำ Planning Corporation ก็จะง่ายยิ่งขึ้น ตอนนั้นเหนื่อยนะคะ แต่สนุกมาก เพราะเป็นความท้าทายที่เราต้องทำให้ได้ ทุ่มเต็มที่ ไม่อยากให้ใครต้องผิดหวังในตัวเรา มาทำงานแต่เช้ากลับดึก เสาร์-อาทิตย์ก็เข้ามาดู” ลูกหมูบอกเล่าถึงการสอนงานจากรุ่นสู่รุ่นของคนในตระกูล “อัมพุช”
นอกเหนือจากการทำงานด้วยกำลังสมองและกำลังกายแล้ว มารยาทการทำงานร่วมกับคนอื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ “เรื่องประหยัด ขยัน ซื่อสัตย์-สุจริต เป็นเรื่องสำคัญที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แต่ที่คุณพ่อย้ำมากคือ การทำงานร่วมกับคนอื่น ต้องรู้จักให้เกียรติผู้อื่น คุณพ่อบอกเลยว่า เก่งไม่เก่งไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าทำงานร่วมกับผู้อื่นได้มั้ย เข้ากับผู้อื่นได้หรือไม่ เพราะถ้าเราทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ งานก็จะเดินหน้าต่อไปได้”
นับจากวันที่เขียนใบสมัครจนถึงวันนี้ ลูกหมูผ่านการเรียนรู้และบททดสอบต่างๆมาแล้วถึง 5 ปี และปี 2558 นี้ ก็ถือเป็นช่วงสำคัญของการทำงานที่เริ่มเข้มข้นขึ้น เมื่อมหาอาณาจักรชอปปิง “เอ็มควอเทียร์” เตรียมเปิดให้บริการ แอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช สั่งให้ ลูกหมู-วิภา มาร่วมงานกับ “มารีส คราทซ์” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร เดอะมอลล์ เพื่อดูแลคอนเซ็ปต์สโตร์ Another Story ไลฟ์สไตล์ชอปแห่งแรกของเมืองไทย
“มาทำตรงนี้ความรับผิดชอบก็มากขึ้นมาอีกนิดนะคะ ช็อปนี้นอกจากต้อง Uniqueness แล้ว สินค้าในนี้ราคาต้องไม่สูงเกินไป ก่อนเปิดลูกหมูกับมารีส ต้องบินไปหาสินค้าทั่วโลกเลยค่ะ ทั้ง ยุโรป-เอเชีย จนได้สินค้าแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์ 160 แบรนด์ดังจากทั่วโลก มีทั้งงานศิลปะ, ดนตรี, แฟชั่น, หนังสือ, ของแต่งบ้าน, แกลอรี่ภาพถ่าย, คาเฟ่ และเวิร์กชอป ของทุกชิ้นที่นี่มี Story Tellling หมด ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีทีเดียวค่ะ” ลูกหมูกล่าว
ประสบการณ์การทำห้างของ “ลูกหมู” ในวันนี้ แม้เธอจะออกตัวว่า มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกมากมาย หากแต่ได้กุนซือดี อย่าง สุรัตน์ และ ศุภลักษณ์ อัมพุช คอยดูแลและฝึกปรืออย่างใกล้ชิด เชื่อว่าอีกไม่นาน ลูกหมู-วิภา อัมพุช จะต้องกลายเป็นหงส์ตัวที่ 2 ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป อย่างแน่นอน