xs
xsm
sm
md
lg

[เซเลบแฝด] อติชาต & อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา ฝาแฝดเด็กเรียน นักกิจกรรมตัวยง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

(ซ้าย)อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา (ขวา) อติชาต กุญชร ณ อยุธยา
11th Anniversary Celeb Online Magazine
ในโอกาสครบรอบ 11 ปี พบกับสัมภาษณ์พิเศษเซเลบริตี้คู่แฝดที่ประสบความสำเร็จ 11 คู่ ตลอดเดือนตุลาคมนี้

>>
ขึ้นชื่อว่า “ฝาแฝด” ถือเป็นความอัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างมนุษย์อีกคนให้มาอยู่ใกล้ชิด เป็นความผูกพันที่แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เช่นเดียวกับความผูกพันของคู่แฝดเด็กเรียน “โอ-อติชาต” และ “ออ-อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา” ที่มีความชอบคล้ายๆ กัน สนิทสนมกันจนรู้ว่าอีกคนคิดอะไร จะทำอะไร เป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท เขาทั้งสองอาจจะไม่ใช่แฝดชายที่มีพฤติกรรมสุดซ่าสักเท่าไหร่ แต่เขาทั้งสองเป็นแฝดที่มีความจริงจังในชีวิตและมุ่งมั่งตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบอย่างดี


แฝดพี่ชายคนแรก “โอ-อติชาต กุญชร ณ อยุธยา” กว่า 4 ปีแล้วที่เขาดูแลเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาต้นทุน และดูแลเรื่องลอจิสติกส์ การขนส่ง รวมไปถึงนำเข้าส่งออก อยู่ที่บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งนอกจากงานด้านการวางแผนแล้วก่อนหน้านี้เขาเคยเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ที่เน้นความโดดเด่นในเรื่อง “พาย” เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบินลัดฟ้าไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ (MBA) ที่ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
(ซ้าย) อติชาต กุญชร ณ อยุธยา, (ขวา) อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา
ส่วนหนุ่มหล่อหน้าใสคนน้อง “ออ-อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา” เป็นที่ปรึกษาด้านฮิวแมน รีซอร์ส อันดับต้นๆ ของเมืองไทย อีกทั้งยังรับหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาหลักแก่หน่วยงานภาครัฐ เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ และระดับปริญญาโท จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศสหราชอาณาจักร ในสาขาวิชาสังคมวิทยาและการเมืองของสังคมยุคใหม่ และตอนนี้มีบริษัทส่วนตัวรับเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรบุคคล ในชื่อบริษัท วินทูเก็ตเตอร์ (Win Together)

“ผมมีบริษัทส่วนตัวทำเกี่ยวกับการให้คำปรึกษารัฐบาลด้านการจัดสรรทรัพยากรบุคคลและวางโครงสร้างกฎหมายให้รัฐบาล รวมไปถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้วย งานที่ทำก็อย่างเช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการไทย การวางโครงสร้างผู้สูงอายุใหม่ หรือถ้าหากกระทรวงจะมีการปรับเปลี่ยนพัฒนาให้เข้ากับยุคดิจิตอล ผมก็ช่วยให้คำปรึกษา” อดิศัย เพิ่มรายละเอียดเรื่องงานของเขาให้เราฟัง

ชีวิตของสองพี่น้องที่เกิดคลานตามกันมาในช่วงระยะห่างเพียง 6 นาที กับคำว่า “แฝด” เชื่อว่าทุกคู่ต้องมีความคล้ายและเหมือนกันแทบแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ของเล่น เรื่องเรียนรวมไปถึงการอบรมสั่งสอนที่ได้รับสิ่งดีจากครอบครัวไปพร้อมๆ กันทั้งสองคน

อติชาต : “เราเป็นแฝดที่เกิดจากธรรมชาติเป็นไข่ใบเดียวกัน คุณพ่อเป็นข้าราชการ แต่ท่านเสียตั้งแต่เราเด็กๆ คุณแม่กับคุณยายเป็นคนเลี้ยงเรามา ก็เข้มงวดพอสมควร ทำให้เราเป็นเด็กตั้งใจเรียน ซึ่งตั้งแต่เด็กคุณแม่เลี้ยงมาเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน มีเสื้อผ้าคล้ายกัน นอนห้องเดียวกัน เหมือนกับเรามีเพื่อนสนิทอีกคนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา”

อดิศัย : “ถึงแม้จะห่างกัน 6 นาที แต่เราก็ให้ความนับถือเป็นพี่เป็นน้อง รู้สึกดีที่ตัวเองมีคู่แฝดที่รู้สึกผูกพันและใกล้ชิดกันมาตลอด นอกจากความเป็นพี่น้องแล้วแฝดเรายังเป็นเพื่อนที่สนิทมากๆ รวมอยู่ในคนเดียวด้วย แต่เพื่อนที่ว่านั้นกลับมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเรา (หัวเราะ)”

อติชาต : “ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเราโตขึ้นมาจึงเริ่มรู้ว่าการที่เราเป็นคู่แฝดกันได้เปรียบคนอื่น อย่างเวลาซื้อของ อย่างตอนเด็กๆ ที่เราต้องใส่ชุดเหมือนกัน ใช้ของเหมือนกัน แต่พอโตขึ้นเรากลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เมื่อเราเลือกซื้อของ และใส่เสื้อผ้าอย่างที่ตัวเองชอบ แต่เวลาซื้อก็พยายามให้ใช้ได้ทั้งสองคน เช่น เลือกซื้อเสื้อผ้าไซส์เราใกล้เคียงกันอยู่แล้ว จากนั้นเราก็เอามาสลับกันใส่ เหมือนกับว่าเราซื้อเสื้อผ้าครึ่งราคาไปโดยปริยาย”

และเมื่อให้สองหนุ่มฝาแฝดเล่าถึงวีรกรรมในอดีต ทั้งสองคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราไม่ค่อยมีเรื่องอะไรแผลงๆ เท่าไหร่ เพราะเราเป็นคนเรียบร้อย (หัวเราะ)”

อติชาต : “จะมีบ้างก็คงเป็นตอนเด็กๆ คือเวลาอยู่บ้านเราจะชอบแข่งกันพูด จนวันหนึ่งเถียงกันไปเถียงกันมา กลายเป็นทะเลาะกัน แล้วออก็หยิบเก้าอี้ขึ้นมาฟาดจนโอกระดูกหัก ต้องเข้าโรงพยาบาล”

อดิศัย : “ตอนนั้นตกใจ แล้วก็เสียใจมาก แต่ไม่นานก็หาย เพราะโอไม่ได้โกรธออ กลับกันเราทั้งคู่ต่างมองว่าเป็นเรื่องน่าตลกมากกว่า ที่ทำไมอยู่ดีๆ เถียงกันแล้วทำถึงขนาดนั้น”

ด้วยความที่เป็นเด็กเรียน ทั้งคู่จึงให้เวลาเต็มที่ทั้งกับการเรียน และการทำกิจกรรมในโรงเรียน ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์ให้พี่และน้องต้องแสดงศักยภาพแข่งขันกัน แต่ก็สามารถคว้ารางวัลมาได้ทั้งคู่

อดิศัย : “สมัยเรียนเราเป็นเด็กชอบทำกิจกรรม เป็นหัวหน้าห้องทุกปี จนเพื่อนๆ จะเรียกเราว่า “หัวหน้า” จนติดปาก ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ไม่อยากให้อยู่ห้องเดียวกัน เพราะว่าเราจะได้มีสังคมที่กว้างขึ้น”

อติชาต : “สมัยมัธยมปลาย เราทั้งสองคนเคยเป็นประธานเชียร์ แต่อยู่คนละสี ก็แข่งกันตอนนั้นสีของออชนะเชียร์ลีดเดอร์ ส่วนสีของผมชนะกีฬา เราทั้งสองคนชอบทำกิจกรรมมาก”

หลังจากเรียนจบมัธยมจากโรงเรียนสาธิตประสานมิตร ทั้งคู่ยังเอนทรานซ์ติดคณะเดียวกัน และพากันเข้าไปเรียนและทำกิจกรรมกันต่อที่ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขนาดทั้งเรียนทั้งเล่นก็ยังจบปริญญาตรีออกมาพร้อมด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองอีกด้วย!

แม้ว่าจะเป็นฝาแฝดที่สนิทกันเพียงไร แต่การเลือกอนาคตของทั้งคู่ต่างก็มีแนวทางเป็นของตนเอง โดยหลังจากเรียนจบปริญญาตรี ออ-อดิศัย เลือกเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ทันทีหลังจากเรียนจบปริญญาตรี ส่วนพี่ชาย โอ-อติชาต เลือกทำงานก่อนที่จะไปศึกษาต่อในสาขา MBA บริหารธุรกิจที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

อดิศัย : “ถึงแม้เราจะเป็นแฝดกัน แต่เราก็รู้ว่าลึกๆ แล้วแต่ละคนก็จะเลือกชีวิตและความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งออเองจะเน้นเรื่องที่เกี่ยวกับสังคม ส่วนโอจะชอบความท้าทายเรื่องธุรกิจ ดังนั้น เส้นทางหลังจากเรียนจบปริญญาตรี เราต่างก็เลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัด”

อติชาต : “พอไปเรียนปริญญาโทก็แยกกันผมไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนออไปเรียนที่อังกฤษ ไลฟ์สไตล์ก็จะต่างกันด้วยวัฒนธรรม ออไปเรียนที่เคมบริดจ์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ดูขลังมาก ส่วนผมก็จะลุยๆ หน่อย”

เป็นฝาแฝดที่สนิทกันขนาดนี้ หลายคนคงอยากรู้ว่าแฝดหนุ่มคู่นี้จะมีอะไรที่ไม่เหมือนกันบ้าง เพราะเมื่อโตขึ้นต่างคนก็ต่างที่จะดำเนินชีวิตไปตามแบบฉบับของตัวเอง

อติชาต : “แน่นอนความเป็นแฝด และการเลี้ยงดูทำให้เรามีทัศนคติพื้นฐานที่เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วคาแรกเตอร์บางอย่างไม่เหมือนกัน อย่างวิธีการพูด ถึงแม้จะพูดเร็วเหมือนกัน แต่ถ้าการแนะนำตัวเอง หรือพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะแตกต่างกัน ถ้าคนที่เข้ามาคุยด้วยจะรู้เลยว่าไม่เหมือนกัน“

อดิศัย : “แต่พอโตขึ้นเราก็ใช้ชีวิตต่างกัน แยกย้ายกันไปทำงาน การใช้ชีวิตบางอย่างก็ไม่เหมือนกัน แต่ไลฟ์สไตล์ที่เหมือนกันคือเราก็ชอบกินอาหารดีๆ ไปที่สวยๆ และที่เหมือนกันอีกอย่างคือ เราสองคนชอบดูแลตัวเองในเรื่องของการแต่งกาย ส่วนหนึ่งมาจากการปลูกฝังจากคุณแม่ เพราะคุณแม่จะจับเราแต่งตัวเนี้ยบมาตั้งแต่เด็ก เลยกลายเป็นคนชอบแต่งตัว เมื่อก่อนชอบ Armani, Versace แล้วก็มาเป็น Prada และ YSL”

อติชาต : “ผมก็ชอบเหมือนกัน แต่เราเป็นผู้ชายจะไม่ค่อยซื้อบ่อย แต่ซื้อทีก็เยอะ (หัวเราะ) อย่าง Ralph Laurent ใส่มานาน เพราะเวลาชอบแบรนด์ไหนก็จะซื้อแบบเดิมๆ ไม่ค่อยเปลี่ยน”

ปัจจุบันนี้ โอ-อติชาต แยกย้ายออกไปใช้ชีวิตครอบครัวแล้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้งความผูกพันกับน้องชายฝาแฝด ที่อย่างไรก็ดีเขาก็ยังย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อให้สายสัมพันธ์ไม่ขาดหาย

อติชาต : “ผมแต่งงานแล้ว แต่เราก็ยังมาเจอกัน คุยกัน กินข้าวด้วยกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งโอเขาก็สนิทกับแฟนผมด้วย”

อดิศัย : “ส่วนผมยังใช้ชีวิตโลดโผนกับเพื่อนๆ ไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนบ้าง แต่เวลามาเจอกันเราก็จะคุยกันเรื่องเล่นๆ ทั่วไป ไม่ค่อยคุยกันเรื่องงานเพราะงานบางทีจะเครียด อยากใช้เวลาสบายๆ กับครอบครัวมากกว่า”

ความรักความผูกพันระหว่างพี่น้องย่อมเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง และยิ่งเป็นคู่แฝดด้วยแล้วย่อมมีความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นความเหมือน ความรู้สึก หรือทัศนคติพื้นฐานต่างๆ ซึ่งแฝดหนุ่ม “อติชาต” และ “อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา” ต่างบอกกับเราว่า “คู่แฝดเป็นมากกว่าเพื่อน มากกว่าพี่น้อง รวมถึงการเป็น Soul mate สำหรับผม”

Same Same But Different

ความเหมือน >> สไตล์การแต่งตัวเหมือนกัน นิสัยคล้ายกัน เป็นคนพูดเร็วเหมือนกัน

ความต่าง >> หน้าตาไม่เหมือนกัน (ถ้าวัดด้วยคำว่าแฝด) รวมทั้งทัศนคติเรื่องงานต่างกัน ซึ่งโอจะชอบความท้าทายในสายงานธุรกิจ ส่วนออจะชอบงานแนวเป็นที่ปรึกษา หรือช่วยเหลือสังคม

ความรักของแฝดชาย >> “เราเป็นคู่แฝดที่เกิดในวันวาเลนไทน์ สำหรับเรื่องความรักตอนแรกๆ ที่พี่โอมีแฟน เรารับไม่ได้เพราะกลัวถูกแย่งเพื่อน (หัวเราะ) แต่พอเวลาผ่านไปก็เริ่มปรับตัวและเข้ากันได้ดีขึ้น ซึ่งตอนนี้แฟนพี่โอก็เป็นครอบครัวเดียวกับเราแล้ว กลายเป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น อบอุ่นดี” :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น