>>เมื่อไม่นานมานี้เราได้ทำความรู้จักกับ “ประธานวงศ์ พรประภา” พี่ใหญ่แห่งบ้านพรประภากันไปแล้ว คราวนี้เรามารู้จักกับน้องคนสุดท้อง “ประคุณ พรประภา” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ของ S.M.I. Travel บริษัททัวร์ที่มีประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวมากว่า 30 ปี
หลายคนคงได้รู้จักกับหนุ่มสาวพี่น้องตระกูลพรประภากันไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “พก-ประธานวงศ์ พรประภา, เอ็ม-ประธานพร พรประภา, ณัย-ประณัย พรประภา” จนมาถึงคิวหนุ่มหล่ออีกคน “เช้า-ประคุณ พรประภา” ลูกชายคนเล็กของ “พรพินิจ พรประภา” ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมรถยนต์ และเจ้าของโรงแรมสุดชิกใจกลางเมืองอย่าง “สยาม แอท สยาม” (Siam@Siam) และผู้ก่อตั้งธุรกิจอีกหลายอย่าง ซึ่งตอนนี้เขาได้ส่งต่อธุรกิจให้กับลูกๆ ทั้ง 4 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เช้าเป็นหนุ่มหล่อนักเรียนนอกที่เพิ่งเรียนจบด้านการบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น อย่างมหาวิทยาลัยเมจิมาหมาดๆ เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตที่โน่นให้ฟังว่า “ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมผมเรียนโรงเรียนอินเตอร์มาโดยตลอด พอขึ้นชั้น ม.5 คุณพ่อก็มาถามว่า อยากไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นไหม ตอนแรกผมก็ลังเลแต่ก็ตัดสินใจไปครับ เพราะอยากเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ และอยากเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศอื่นด้วยครับ
แรกๆ ที่ไปคิดถึงบ้านมากเลยครับ เพราะยังสื่อสารกับใครไม่รู้เรื่อง อยากกลับบ้านมาก แต่พอคิดไปคิดมาที่บ้านก็ทำธุรกิจกับญี่ปุ่น ถ้าเราเรียนต่อไปก็น่าจะดีต่ออนาคตตัวเอง ก็เลยตั้งใจเรียนต่อไปครับ จนเราเริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มสนุกครับ
ตอนที่ย้ายไปใหม่ๆ ผมไปเรียนที่โรงเรียนเมโตคุ อยู่ที่นั่นผมเรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย แล้วก็เรียนวิชาอื่นๆ เหมือนที่เด็กญี่ปุ่นทั่วไปเรียน ควบคู่กันไปด้วย โรงเรียนแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านกีฬาครับ เช่น เบสบอล ซอฟต์บอล ศิลปะการป้องกันตัว การต่อสู้ของญี่ปุ่น ฯลฯ
ผมก็เป็นคนชอบเล่นกีฬาอยู่แล้วด้วย อยู่ที่นี่ผมเป็นกัปตันทีมวอลเลย์บอล ซอฟต์บอล หลังจากที่เรียนจบชั้นมัธยมแล้ว ผมจึงไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมจิครับ”
จากการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นมานานหลายปี ทำให้หนุ่มคนนี้ได้รู้และเข้าใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ตั้งแต่ นิสัยใจคอ รูปแบบการใช้ชีวิต ตลอดจนสถานที่ที่น่าสนใจของที่นั่น จึงทำให้เขานำมาต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยวของครอบครัวได้
“ด้วยความที่ผมเรียนโรงเรียนอินเตอร์มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งธรรมดาของเด็กอินเตอร์ก็จะกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น หรือความรู้สึก ผมไปอยู่ญี่ปุ่นแรกๆ ก็อึ้งๆ เหมือนกัน เพราะคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยเปิดเผย อยู่ในกรอบ ไม่ค่อยแสดงออกว่าตัวเองอยากได้อะไร ค่อนข้างขี้อายครับ
คนญี่ปุ่นจะเงียบๆ อ่อนน้อม เวลาคุยกับเขาเราจะไม่ค่อยรู้ว่าเขาคิดอะไร ผมจะเป็นแบบอยากได้อะไรก็แสดงออกไป เป็นตัวของตัวเอง เป็นห่วงคนรอบข้าง ชอบดูแลคนอื่น เพื่อนของคุณพ่อท่านก็แนะนำว่า ไม่ต้องไปสนใจเขามาก ไม่ต้องคิดมาก เพราะคนที่นี่เขาเป็นแบบนั้น คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่แล้วจะปกป้องตัวเองมากกว่า” ประคุณกล่าว
ก่อนที่นักการตลาดหนุ่มจะเดินทางกลับมาดูแลธุรกิจบริษัททัวร์ของที่บ้าน เขามีโอกาสทำงานบริษัททัวร์ของครอบครัวสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น ได้เล่าบรรยากาศการทำงานของคนญี่ปุ่นให้ฟังว่า “คนญี่ปุ่นค่อนข้างจริงจังกับการทำงานครับ เขาจะต่างคนต่างทำงาน นั่งทำงานกันเงียบๆ ไม่เปิดเพลงฟังระหว่างทำงาน ไม่ค่อยคุยกัน ไม่ค่อยสื่อสารกันสักเท่าไร ทุกคนจะจ้องแต่คอมพ์ทำงานอย่างเดียว แต่เวลาเลิกงานเขาจะผ่อนคลายสนุกเฮฮากันเต็มที่ แต่บรรยากาศการทำงานที่เมืองไทยจะชิลๆ มีคุยกันบ้าง ตอนเช้าหรือเย็นรถไฟจะคนเยอะมากๆ สิ่งที่เหมือนกันกับเมืองไทยก็คือสิ่งนี้แหละครับ (หัวเราะ)”
ปัจจุบันหนุ่มเช้านั่งแท่นเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดให้กับ “S.M.I. Travel” บริษัททัวร์ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 35 ปีที่แล้ว เป็นบริษัททัวร์ที่พานักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นมาเที่ยวประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่ง S.M.I. Travel มีออฟฟิศอยู่ในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า สิงคโปร์
เนื่องด้วยความเชี่ยวชาญและทำงานกับประเทศญี่ปุ่นมานาน จึงทำให้ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ได้สร้างสรรค์โปรเจกต์ใหม่ขึ้นมา ชื่อ Wendy Tour ซึ่งจะตีตลาดนักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วเที่ยวกันเอง หรือ FIT (Foreign Individual Traveler) ช่วยให้ผู้ชื่นชอบประเทศญี่ปุ่น สามารถจัดการงบประมาณเองได้ง่ายๆ เช้าเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นและผลตอบรับของโปรเจกต์นี้ว่า
“จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้คือ ผมเห็นว่าตอนนี้ทุกคนมีสมาร์ทโฟนแล้ว จะหาอะไร จะไปไหน ก็เสิร์ชหาได้ รวมถึงการจองโรงแรมออนไลน์ก็ได้ด้วย เลยอยากมอบความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว ประกอบกับผมเป็นคนชอบเที่ยวครับ เวลาจะไปเที่ยวต้องเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ต บางทีก็ขี้เกียจเหมือนกัน แล้วมันก็ต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลเยอะด้วย ผมก็เลยคิดว่าถ้าเรามีแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มันก็จะทำให้อะไรๆ สะดวกขึ้น
สมมติว่า ลูกค้าซื้อแพกเกจไปแล้ว ปกติจะได้กำหนดการเดินทางหรือข้อมูลที่เป็นกระดาษ แต่ของลูกค้าสามารถเข้าไปดูข้อมูลการท่องเที่ยวในแอปพลิเคชันได้ ในนั้นจะมีเบอร์โทรศัพท์ที่จำเป็น สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำว่าควรไปเที่ยวตรงไหนมีอะไรพิเศษและข้อมูลที่สำคัญๆ ครับ”
“เดี๋ยวนี้คนไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะขึ้น เพราะมันไม่ต้องใช้วีซ่าแล้ว ลูกค้าบางคนก็ไม่อยากไปแบบแพกเกจทัวร์ เพราะที่เที่ยว ที่กิน ต้องฟิกซ์ทุกอย่าง เวลากำจัด บางทีอาหารอาจจะไม่ถูกปาก เราจึงถือโอกาสสร้างแพกเกจทัวร์ที่ลูกค้าสามารถออกแบบเองได้ แล้วก็จะมีแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ลูกค้าจะได้ไปสัมผัสกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นจริงๆ
บางครั้งก็ไปพักกับคนญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของบ้านจริงๆ โดยมีเจ้าของบ้านพาเราเที่ยว พาไปตลาดสด พาไปดูงานเทศกาลต่างๆ ประจำท้องถิ่น เป็นแบบ site seeing นิดนึง มีการทำอาหารร่วมกับเขา เป็นเหมือนการไปสัมผัสไลฟ์สไตล์ของคนญี่ปุ่นไปในตัว ซึ่งมันก็ได้ผลตอบรับที่ดีมาก” หนุ่มหล่อเจ้าของความคิดถ่ายทอดให้ฟัง
นอกจากการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังมีการท่องเที่ยวอีกหลายประเทศที่หนุ่มนักการตลาดคนนี้ บอกว่าได้รับความนิยม เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ในแถบยุโรป และยังมีโปรแกรม Educational Tour เป็นทัวร์การศึกษาที่แลกเปลี่ยนนักเรียนกับประเทศนิวซีแลนซ์ อีกด้วย
เนื่องจากเป็นคนชอบท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ และไปมาแล้วหลายประเทศ แต่ประเทศที่เช้าชื่นชอบและประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นประเทศอิตาลี เพราะชอบดูสถานที่ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม หนุ่มนักเดินทางเล่าเหตุการณ์ที่เขาเคยเจอและควรระวังให้ฟังว่า
“นอกจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผมไปบ่อยแล้ว ยังมีประเทศอิตาลีที่ผมชอบไปเมื่อมีโอกาส ผมชอบไปดู Historical Sites ต่างๆ รู้สึกประทับใจว่าคนสมัยก่อนเก่ง สร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้ขนาดนี้เลยทั้งๆ ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย และก็ชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของแต่ละที่ด้วยครับ แต่เวลาไปที่โน่นต้องระวังพวกมิจฉาชีพเหมือนกันครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเคยเจอเป็นเหมือนคนต่างด้าวที่มาทำงานในอิตาลีครับ เขาเข้ามาเหมือนบังคับขายสร้อย บอกเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ผมไม่สนใจ เขาก็จับมือผมแล้วก็ใส่สร้อยข้อมือให้ ผมพยายามจะแกะออก คนขายก็บอกให้ผมจ่ายเงินมา 20 ยูโร แต่ผมไม่จ่ายแล้วก็เดินหนี เขาเดินตามผมเป็นกิโลเมตรเลยครับ ผมเห็นท่าไม่ดีเลยเดินเข้าร้านค้าใกล้ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตามเข้ามา ตอนนั้นกลัวเขามาทำร้ายเราเหมือนกันครับ”
เห็นประคุณเป็นหนุ่มนักเดินทาง ท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆ มากมาย หลายคนคงคิดว่าของสะสมของเขาคงจะเป็นของที่ระลึกหรืออะไรที่เกี่ยวกับเมืองนั้นๆ แต่สำหรับหนุ่มคนนี้เขามักจะสะสมประสบการณ์จากการไปเที่ยวประเทศนั้นๆ มากกว่า “ผมเป็นคนมี Photographic Memory ครับ ผมจะจำภาพสถานที่ที่ผมไป เหตุการณ์ที่ผมเจอได้เป็นช็อตๆ เวลาไปประเทศไหนส่วนใหญ่ผมจะเก็บภาพและความทรงจำที่ประทับใจมากกว่า บางทีถ้าผมไปเจอของถูกใจที่ไหนก็จะซื้อกลับมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อยืด ของเล่น อุปกรณ์กีฬา รองเท้ากีฬาอะไรประมาณนั้นอ่ะครับ”
มาถึงไลฟ์สไตล์ของหนุ่มคนนี้กันบ้าง นอกจากเรื่องการท่องเที่ยวที่เขาโปรดปรานแล้ว เช้ายังชอบเล่นกีฬาทุกประเภท โดยเฉพาะกีฬาที่ค่อนข้างใช้พลัง อย่าง Crossfit ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น “หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก Crossfit ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่เป็นเหมือนการฝึกเพิ่มขีดความสามารถและสมรรถนะของร่างกาย มีการผสมผสานการออกกำลังกายหลายรูปแบบ เช่น วิ่ง โหนบาร์ ยกน้ำหนัก ฯลฯ ซึ่งต้องใช้แรงเยอะพอสมควร
ผมว่าการออกกำลังทำให้เราไม่เครียด และทำให้เราอารมณ์ดี เป็นการดูแลสุขภาพจิตของเราอีกทางด้วยครับ” ประคุณได้แนะนำเทคนิคการดูแลรูปร่างให้ดีสมส่วนว่า “สิ่งแรกที่ต้องทำคือกินดีครับ ไม่กินอาหารพวกฟาสต์ฟูด ควรกินอาหารคลีน เดี๋ยวนี้ผมก็ทำอาหารเองครับ กินพวกข้าวกล้องแทนข้าวขาว ปรุงรสให้น้อยที่สุด ไม่ควรกินเค็มหรือหวานเกินไป กินผักเยอะๆ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ก็ควรเลือกที่ไม่ติดมัน และที่สำคัญควรออกกำลังกายเป็นประจำ เซตเป็นโปรแกรมเป็นตารางก็จะดีมาก ถ้าทำตามตารางเป๊ะๆ ก็จะทำให้ได้ผลเร็วขึ้น”
ด้วยความที่หนุ่มคนนี้ชอบออกกำลังกาย สไตล์การแต่งตัวจึงสบายๆ เน้นเสื้อยืด เสื้อโปโล กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ถ้าเป็นวันสบายๆ หรือวันหยุด แต่หากเป็นในวันทำงาน เขาจะเลือกเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลกส์ ซึ่งให้ลุคที่ดูเป็นทางการขึ้นมาหน่อย และหากมีเวลาไปแฮงเอาต์กับเพื่อนเขาจะชอบไปฟังเพลงชิลๆ ซึ่งศิลปินที่ชอบคือ DJ.Kygo ซึ่งแนวเพลงของเขาจะไม่ช้าหรือเร็วเกินไป
หนุ่มเช้า-ประคุณ พรประภา ฝากทิ้งท้ายว่า การทำงานในทุกวันนี้ หากเราเลือกทำงานที่ถนัดและชอบ เราก็จะเหมือนไม่ได้ไปทำงาน แม้ว่าเราจะเจออุปสรรคอะไรก็ตามเราก็จะไม่ท้อที่จะแก้ไข :: Text by FLASH
Special Thanks : โรงแรมสยาม แอท สยาม 865 ถนนพระราม 1 (สนามกีฬาแห่งชาติ) ปทุมวัน กรุงเทพฯ
ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ โทรศัพท์ 0-2217-3000