ART EYE VIEW---เมื่อศิลปินที่ทำงานศิลปะมาอย่างต่อเนื่อง มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักทั้งใน และต่างประเทศ เป็นผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์จิตวิญญาณร่วมสมัยแห่งศตวรรษที่ 31 (31th Century Museum Contemporary of Spirit),มูลนิธิที่นา (The Land) ตลอดจน อุโมงค์ศิลปธรรม อย่าง คามิน เลิศชัยประเสริฐ ต้องตอบคำถามหนึ่งของผู้ฟังเกี่ยวกับวิธีการหาทางออกหรือก้าวข้าม ช่วงเวลาที่ชีวิต “ไม่ปกติ”
ทั้งหมดนี้คือศิลปะบำบัด และทางออกตอบยาว ที่คามิน ตอบผ่าน Art Talk “ชีวิตแห่งเจตจำนง (Life Specific ) : คามิน เลิศชัยประเสริฐ” ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผู้สนใจเข้าฟังจำนวนมาก
เราไม่มีข้อมูลในการเข้าใจในชีวิตมากพอ
“ผมว่าทุกคนมีช่วงนั้น รวมถึงคนที่ไม่ได้เรียนศิลปะด้วย เหมือนเป็นช่วงที่เราไม่มีข้อมูลในการเข้าใจในชีวิตมากพอ ซึ่งเป็นในวัยของทุกคน คนไทยอาจจะคิดว่าประมาณอายุ 25 ปี ที่ต้องบวช ซึ่งผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ ทั้งที่มันผิดปกติ แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่มันเป็นจุดเปลี่ยน เหมือนกับเราแต่งงานแล้วเราก็เปลี่ยน การดำเนินชีวิตก็จะเปลี่ยน
ผมว่าประเด็นคือตรงนี้แค่นั้นเอง เพราะข้อมูลในการเข้าใจในชีวิตเราไม่พอ ในการตีความประสบการณ์ที่มันเข้ามา แต่ว่าหลังจากที่เรามีข้อมูล ในการเข้าใจชีวิตหรือประสบการณ์ เราจะมองทุกอย่างเนี่ย ตามความเป็นจริงมากขึ้น แล้วเราก็จะปล่อยบางอย่างที่มันเป็นความคิดปรุงแต่งมากขึ้น"
ให้ศิลปะรับฟังเรา
“วิธีการของผมก็คือ ตอนทำงานชุด Drawing to Spirit หรือเริ่มตั้งแต่งานชุด หยิน หยาง ชุดที่เกี่ยวกับธรรมชาติเกิดมาได้อย่างไร ทำงานทุกวันทุกขณะ คิดทุกขณะ ช่วงชุดนิราศไทยแลนด์ ก็เหมือนกัน ผมทำเกือบ 24 ชั่วโมง ตื่นจนนอน นอนจนตื่น ทำอย่างนั้นเป็นปีๆ จนกระทั่ง ผมมาเข้าใจว่า สิ่งที่มันหาย มันไม่ได้หาย แต่มันเป็นการทำความเข้าใจเหมือนเราวิปัสนา จิตมันจะฟุ้งไปตลอด ไปอดีต ไปอนาคต แต่การกำหนดลมหายใจจะทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน เพื่อไม่ให้จิตเราฟุ้ง ถ้าเผื่อใครมีประสบการณ์ในการนั่งสมาธิ จึงจะเข้าใจ
ฉนั้นการทำงานศิลปะ เปรียบได้กับการกำหนดลมหายใจ ก็คือการโฟกัสบางสิ่ง เพื่อไม่ให้คิดปรุงแต่งไปข้างหน้ากับอดีต คือการเปลี่ยนกิจกรรมมาเป็น Moment เป็นปัจจุบัน สาระมันมีอยู่แค่นั้นเอง แล้วการที่พูดคนอื่นไม่เข้าใจ เราก็พูดกับตัวเอง แค่นั้นเอง มีศิลปะรับฟังเรา
สำหรับผม ศิลปะของเด็กของอะไร ถ้าเราไปดู มันเป็น Art therapy ทั้งนั้น เหมือนกับที่เขาใช้ศิลปะบำบัดเด็ก บำบัดคนโรคจิต มันเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ถ่ายทอดออกมา โดยไม่ต้องผ่านวัฒนธรรมทางภาษา แล้วมันไม่มีข้อจำกัด
ฉนั้นศิลปะทางแพทย์ หรือจิตแพทย์ เขาใช้ตัวนี้นะ บำบัด ซึ่งผมมาค้นพบและเข้าใจ ผ่านประสบการณ์ของผม และผมว่า พอมันเลยจุดนี้ในการเข้าใจ ในตนเอง เราจะเริ่ม full fill ตัวเอง แล้วเราก็จะมองว่า แล้วคนอื่นเป็นยังไง อันนี้คือจุดที่ทำให้เราเข้าใจสังคม”
เข้าใจคนอื่น
“จากนั้นศิลปะที่เราทำมันก็จะกระเถิบขึ้นมาอีกนิดนึง คือการคิดเพื่อคนอื่น เพื่อสังคม แต่จริงๆก็ไม่ใช่เพื่อคนอื่นหรอก แต่เพื่อตนเองที่จะเข้าใจ เพื่อที่จะทำให้ตนเองอยู่กับคนอื่นได้ยังไง เราก็ต้องเข้าใจคนอื่น ก็ต้องศึกษา
เป็นระบบของการเรียนรู้ของมนุษย์ เป็นวิวัฒนาการทางจิต จากจุดนั้น พอเรา full fill ว่าเราเข้าใจมนุษย์ สังคมขับเคลื่อนยังไง แรงขับของกิเลส ของตัวเองขับเคลื่อนยังไง
พอเราเข้าใจ subjective objective เราจะหาความจริงว่า แล้วมันรวมกันยังไง แล้วอะไรคือความจริงที่มันจะลิงค์สองอย่างได้ อันนี้ก็คือสัจจะสูงสุด มันก็เลยทำให้คนมาสนใจศาสนา หรือวิธีวิปัสนา เพราะมันเป็นคำตอบที่เลยข้ามตัวตนกับคนอื่น แต่มันเป็น absolutely true เป็นความจริงที่อยู่เหนือปรากฎการณ์ทางกายภาพ พอเราหาเรื่องกายภาพให้ถึงที่สุด มันไม่สามารถที่จะ full fill ไอ้ความไม่มั่นคง หรือความกลัว ที่อยู่ใต้จิตสำนึกของเรา เรายังไม่เที่ยง แสดงว่ามันมีข้อจำกัดบางอย่างที่ยังไปไม่ถึง เราต้องหา knowledge (ความรู้) ที่มันเลยข้อจำกัดนั้น ก็คือสิ่งที่มันลงลึกไปกว่า Physical หรือ Mental ก็คือ Spirit มันก็จะมองเป็นสเต็ปขึ้น"
ความจริงที่มีอยู่แล้ว
“ถ้าเกิดคุณโฟกัสกับชีวิต ซีเรียสจริงๆทุกลมหายใจเข้าออกเนี่ย ทุกคนจะมาถึงจุดเดียวกัน เพราะมันไม่ใช่องค์ความรู้ที่อยู่ข้างนอก ไม่มีอะไรใหม่เลย สิ่งที่ผมพูดไม่มีอะไรใหม่เลย แต่เพียงแค่มันถูกอธิบายใหม่ผ่านโลกศิลปะ แต่ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีสิ่งที่ถูกค้นพบใหม่
พระพุทธเจ้าไม่ได้ค้นพบอะไรใหม่ ท่านพูดความจริงที่มีอยู่แล้ว ก่อนท่านเกิด และหลังท่านตายก็จะยังมีอยู่
สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบก็คือการอธิบายความจริงในยุค 2500 ปีก่อน ในยุคที่ไม่มีการแบ่งชนชั้น เป็นทาส เป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ อะไร
ยุคนั้นที่มันมีข้อจำกัดของการเข้าถึงความจริงของประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรม
พระพุทธเจ้าบอกว่าทุกคนมีความดีอยู่ในตัวนะ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยการไปบวชนะ ปฏิบัติ ถือศีล มีสมาธิ มีปัญญา แล้วคุณจะเข้าถึงสัจจะในตัวคุณ สิ่งที่ผมพูด ไม่ได้มีอะไรใหม่ นอกจากสิ่งที่ผมอธิบายใหม่ ผ่านองค์ความรู้ของพระพุทธเจ้า และผมก็ไม่อยากจะเรียกมันว่าพุทธศาสนา เพราะมันจะสร้างข้อจำกัด ให้กับคนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา
ผมถึงพยายามจะบอกว่ามันเป็นเรื่องของจิต เรื่องของชีวิต คุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ เรียกมันว่าศิลปะ เรียกมันว่าเศรษฐศาสตร์ เรียกมันว่าวิทยาศาสตร์ เรียกมันว่าขี้ยังได้เลย เรียกมันว่าอะไรก็ได้ แต่ประเด็นคือว่าคุณเข้าใจมันว่ายังไง
เกิดคุณไม่ต้องการจะสื่อสาร คุณเรียกมันว่ายังไงก็ได้ แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่คุณต้องการจะแบ่งปันหรือแชร์มัน คุณต้องอ้างอิงประวัติศาสตร์ ต้องอ้างอิงองค์ความรู้ที่คนเขายอมรับ
ถ้าเกิดคุณเป็นแบบเด็ก ทำเพื่อตัวเอง ไม่ต้องอธิบาย คุณมีความสุขในโลกของคุณได้ แต่เมื่อจุดนึงที่คุณต้องการจะแบ่งปันเนี่ย คุณต้องมีอธิบาย"
ความจริงในมิติที่ไม่ใช่เป็นข้อมูล
“สิ่งที่เราต้องการจะหาในโลกใบนี้คือคำอธิบายที่เป็นร่วมสมัยนะ คุณบอกความจริงให้กับลูกคุณ ลุกคุณไม่เคยทำตาม เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการจะฟัง คุณต้องใช้ภาษาของเค้า ใช้วัฒนธรรมของเค้า แต่พูดความจริงในมิติที่พิมพ์เขียวในหัวเค้ามี เค้าถึงจะรับ อันนั้นก็คือ knowledge ที่คุณต้องอธิบาย ในการ อธิบายความจริง แต่คุณจะอธิบายตัวนั้นได้ ก็ต่อเมื่อคุณเข้าถึงในความจริงมิติที่มันไม่ใช่เป็นข้อมูล แต่ต้องเป็นประสบการณ์ที่ผ่านการประสบด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณถึงจะเข้าใจว่า ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปฟอร์มแบบไหน คุณจะเห็น มันจะไม่ต่างกัน เพราะคุณดูที่เจตนา ดูที่จุดมุ่งหมาย ไม่ได้ดูที่ผลกับคุณค่าที่เป็นปัจจัยภายนอกที่คนเขาเรียกกันว่าอะไร เค้าให้คุณค่าอะไร แต่คุณจะรู้ เหมือนคุณรู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะหิว เมื่อไหร่คุณจะอิ่ม เมื่อไหร่คุณจะร้องไห้ ไม่มีใครต้องบอกคุณ แต่คุณจะรู้ และนั่นคือการปรับสมดุลของคุณ นั่นคือความจริง"
สิ่งที่ไม่สมดุลคือมนุษย์
“เหมือนเรากำลังมองโลกใบนี้ว่าทุกอย่างแต่หมดเลย มีมลพิษ น้ำไม่ดี อากาศไม่ดี ทุกอย่างเลวร้ายหมด ถูกไหม เรากำลังพูดถึงยุคนี้ เพราะอะไร เพราะคุณเอาความคิดของความเป็นมนุษย์เป็นเซ็นเตอร์ไง
คุณไปถามต้นไม้สิว่ามันแย่ไม๊ ถามแผ่นดินไหว ถามน้ำท่วม มันสมบูรณ์ตลอดเวลา เพราะการปรับสมดุลของมันนั่นแหล่ะ คือธรรมชาติ มันไม่เคยเสียสมดุลนะ เพราะขณะที่มันเสียสมดุล มันก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหว ขณะที่มันร้อน มันก็จะเกิดภูเขาไฟ ขณะที่อากาศมีมลพิษมันก็จะเกิดทำให้ต้นไม้ต้นนั้นตาย และตัวอื่นๆก็จะเกิดขึ้น เชื้อโรคใหม่ก็จะเกิดขึ้น
ถ้าคุณไปถามธรรมชาติ มันคือสมดุลตลอดเวลานะ แต่สิ่งที่ไม่สมดุลคือมนุษย์ ถ้าคุณเอาความคิดของมนุษย์เป็นหลัก ธรรมชาติเสียสมดุล นี่คือภาษาที่เราพูด อธิบายธรรมชาติในโลกปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งเสียสมดุล ทุกสิ่งไม่ดี ทุกสิ่งอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะคุณเอาตัวเองเป็นเซ็นเตอร์ไง ทุกเรื่องถูกไหม”
มองโลกตามความเป็นจริง
“ปัญหาก็คือ ทำยังไงให้เรามองโลกตามความเป็นจริง มากขึ้น เห็นธรรมชาติอย่างที่มันเป็น เห็นคนอื่นอย่างที่เค้าเป็น เคารพคนอื่นอย่างที่เค้าเป็น เคารพตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น ไม่ใช่อะไรก็ตัดพ้อ ก็เกิดมาไม่ดี ไม่หล่อ ขาเป๋ ปัญญาอ่อน ไม่รวย มึงรวย มึงเลยทำได้ คือเราโทษเหตุปัจจัยภายนอกทั้งหมดเลย เพื่อทำให้เรา full fill มีความสุข แต่ว่าเราไม่เข้าใจ ว่านั่นคือการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
ถ้าเกิดคุณรู้ปัญหาจริงๆว่า เขาสร้างคุณด้วยเหตุปัจจัยที่เป็นนามธรรม ที่เหมาะสมมาก ถ้าคุณเกิดเข้าใจจุดนี้ คุณจะมีความสุขทุกขณะที่คุณได้อะไร แล้วก็ทำอะไร และนั่นคือสิ่งที่เราจะเปลี่ยนแปลงได้ เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากการกระทำใหม่นะ เปลี่ยนแปลงจากการเปิดทัศนคติใหม่
และผมว่างานทั้งหมดของ 31th Century Museum Contemporary of Spirit คือการทำให้คนอื่นตื่นและตระหนักรู้ในคุณค่าตรงนี้ ให้ออกจากอคติ หรือทัศนคติที่เป็นทั้งบวกและลบ ถ้าบวกเกินไปมันก็จะดูถูกคนอื่น ว่าเขาไม่ได้มีดีเท่ามึง เค้าไม่ได้กินเจ จึงไม่มีบุญ เขาไม่ได้นั่งสมาธิทุกวัน เค้าเป็นคนบาป เค้าไม่ได้เชื่อพุทธ ก็เลยแย่ คือทุกคนคิดแบบนี้หมดเลยไง เพราะไม่ได้มองตามความเป็นจริง
คือสาระทั้งหมด..สำหรับผมเนี่ยคือศิลปะ มันไม่ได้ต้องทำอะไรอีกแล้ว มันไม่มีรูปทรงอะไรเหลืออยู่แล้ว ทุกอย่างที่คุณทำคือศิลปะ ทุกอาชีพ เราต้องเคารพเค้าว่าเค้าคือ Creation และถ้าเค้าไม่ Creation เพราะอะไร เพราะว่าเค้าไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่เข้าใจว่าตัวเค้าเองมีคุณค่าที่จะสร้างพลวัตใหม่ได้ตลอดเวลา อย่างน้อยพลวัตกับตัวเค้าเองกับคนรอบข้าง กับสิ่งที่มีค่ากับเค้า
ผมว่าการสร้างสังคมเล็กๆกับเพื่อนบ้าน กับตัวเค้า ผมว่านั่นคือการเปลี่ยนแปลงนะนั่น และคนเราทุกคนไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นะ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ถ้าคุณตระหนักรู้ตรงนี้ ทุกขณะ
เป้าหมายคุณอาจจะไม่ได้ 1 ล้านบาท แต่คุณมีความสุขทุกขณะ และพบว่าชีวิตมันคืออะไร คุณต้องการอะไรในชีวิต มาตัวเปล่าไปตัวเปล่า สิ่งที่คุณอยู่ตอนนี้ ถูกเปล่า คุณเอาอะไรไปได้บ้าง ถ้าเผื่อคุณตาย แค่นี้เอง”
วันที่สำคัญที่สุดก็คือวันที่เราเกิดมา กับอีกวันหนึ่งก็คือ วันที่เรารู้ว่าเราเกิดมาทำไม ถ้าคุณรู้ว่าคุณรู้ว่าคุณเกิดมาทำไม คุณก็จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข หรือไม่สุขก็ได้ แต่คุณจะรู้ว่าคุณเกิดมาทำไม เพื่ออะไร เหมือนคุณจะรู้ว่าคุณจะเดินทางไปไหน ทุกก้าวมันก็คือตรงนั้น ก็คือปัจจุบันขณะ”
รู้จัก ...คามิน เลิศชัยประเสริฐ ให้มากขึ้น .....
ขอบคุณคลิปสัมภาษณ์จาก BACC
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews