"สถาปัตย์ก็คือการดีไซน์ ชีวิตหนีการออกแบบไม่พ้น แค่เปลี่ยนจากสร้างตึกมาสร้างเสื้อผ้าให้คนใส่แทน การทำเสื้อผ้าดีๆ ให้คนได้ใส่ในราคาไม่แพงตรงนี้ดีใจมากกว่า" เป็นประโยคเด็ดที่บ่งบอกความรักในสิ่งที่ทำของ เปเป้-วาริธร กันท์ไพบูลย์ ดีไซเนอร์สัญชาติไทย เจ้าของร้านเสื้อผ้าแบรนด์ varithorn Boutique ที่โด่งดังในโลกออนไลน์ สร้างความประทับใจให้เราในวันแรกพบ เพราะความคิดและคำพูดตรงๆ ไร้การปั้นแต่งให้สวยหรู ทำให้เราอยากรู้จักเธอมากกว่าที่เห็น
เปเป้-วาริธร สาวร่างเล็กกับใบหน้าสวยหวาน บุตรสาวคนโตของ ไกรวุฒิ กับ สมศรี กันท์ไพบูลย์ คนดังวงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดบ้านหลังงามกลางซอยสุขุมวิท 49 ให้เราได้มาพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตกุ๊กกิ๊ก กับเส้นทางชีวิตการเป็นดีไซเนอร์ของเธออย่างเป็นกันเอง
สาวน้อยหน้าใสเล่าเรื่องราวก่อนก้าวเข้าสู่ถนนการเป็นดีไซเนอร์ ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีว่า ชอบงานด้านศิลปะมาตั้งเล็ก ด้วยความเป็นคนรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ชอบแต่งบ้าน เมื่อจบมัธยมปลายจึงเลือกเรียก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (INDA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนคว้าปริญญาได้มาเป็นของขวัญให้พ่อและแม่สำเร็จ จากนั้นก็ถึงเวลาต้องเลือกทางเดินชีวิต ระหว่างการเป็นสถาปนิก กับ ดีไซเนอร์
“คุณพ่อคุณแม่ให้อิสระเต็มที่ ไม่เคยบังคับว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เพราะเขารู้ว่าเป้เป็นคนจริงจัง อยากทำอะไรก็ทำไป ถูก-ผิดค่อยมาว่ากันใหม่ ตอนจบใหม่เป้เคยไปทำงานกับบริษัทออกแบบตกแต่งบ้านที่หนึ่ง ควบคู่กับการออกแบบเสื้อผ้า ปรากฏทำเสื้อผ้าดูดีกว่า ก็ออกจากการเป็นสถาปนิก ได้ไปฝึกงานกับ พี่ปลาเข็ม (กรัชเพชร อิสสระ)”
เป้ยังบอกอีกว่า เธอโชคดีที่ค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักได้เร็ว หลังออกแบบเสื้อใส่เองรวมถึงออกแบบให้คุณแม่ และน้องสาวใส่ แล้วถ่ายรูปลงอินสตาแกรม ชื่อ Pe_K เพียงไม่นานก็มีคนมาติดตามกว่าห้าหมื่นราย ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างไม่รู้ตัว เพราะทุกครั้งหลังโพสต์รูปลง คนที่ตามก็เริ่มทักว่าเสื้อสวย เเบรนด์อะไร ซื้อจากที่ไหน เธอจึงตัดสินใจใช้ชื่อตัวเองสร้างแบรนด์ทันที
“เสื้อผ้าของเป้ เน้นการออกแบบแนวเรียบหรู แอบเซ็กซี่มีส่วนเว้าส่วนโค้งใช้งานได้นานไม่เชย พอลองทำขาย ปรากฏออร์เดอร์ลูกค้าเข้ามาเยอะมาก เป้คิดว่าอาจเป็นสินค้าคุณภาพสูง ผ้าทุกชิ้นนำเข้าจากต่างประเทศ ตัดเย็บอย่างดีที่สุด เเต่ขายราคา 1,000-4,000 บาท บางตัวกำไร 100-200 บาท หักค่าส่งแทบไม่เหลือเลย บางทีก็ท้อเหมือนกัน แต่พอมีลูกค้าชมเข้ามา หรือเห็นคนใส่ชุดเรา ความท้อกับงานที่เราทำเหนื่อยๆ ก็หายไปเองค่ะ ตอนหลังที่ลูกค้าเยอะมากขึ้น ลูกค้าบางคนไม่อยากรอ ก็ลุ้นให้เปิดร้าน ตรงนี้อยู่ในแผนอนาคตของเป้อยู่แล้วก็เลยเปิดร้านตัวเอง ตอนนี้มี 2 สาขาค่ะ"
จากเรื่องราวชีวิตในวัย 26 ปี ของ “เปเป้” ดูแล้วเหมือนกับว่า หลังเรียนจบแล้ว เธอก็มุ่งมั่นทำงานเพียงอย่างเดียว หากแต่เมื่อล้วงลึกชีวิตหลังการทำงานของเธอ ถึงได้รู้ว่า ชีวิตเธอไม่ธรรมดาเลย เพราะในเวลาว่างของเธอ นอกจากการชอปปิงแล้ว เธอยังมีความสุขกับการสะสมกระเป๋าแบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะ hermes และการขับรถสปอร์ตคันหรู รถสะสมที่เป็นของรักของหวงที่พ่อ-แม่ มอบให้เป็นของขวัญในวาระที่เหมาะสม
“จริงๆ แล้วความสวยความงามก็รวมทุกเรื่องนะคะ ทั้ง เสื้อผ้า นาฬิกา กระเป๋า รองเท้า รถสปอร์ต เป้เองก็ชอบหมด (หัวเราะ) แต่ถ้าชอบมากก็เป็นรถกับกระเป๋าค่ะ ตอนนี้มีรถประมาณ 5-6 คัน ส่วนกระเป๋าประมาณ 50 กว่าใบแล้ว ทั้งรถและกระเป๋าก็ใช้สลับกันไปทุกวัน ตามความเหมาะสม”
เป้ยังพูดถึงการสะสมกระเป๋าแอร์เมส ซึ่งเป็นที่นิยมของเหล่าเซเลบดังๆ ทั่วโลกว่า ชอบที่ความเรียบหรู โดยใบโปรดจะเป็นสีส้ม เพราะเป็นรุ่นที่หายากมาก กว่าจะได้มาต้องแลกกับการหมดเงินจำนวนมาก เพื่อซื้อของสะสมแต้ม จนได้ใช้สิทธิ์ในการซื้อ “แอร์เมส” ใบโปรด
สำหรับการดูแลรักษานั้น เป้ยอมรับว่า ไม่มีห้องเก็บกระเป๋าโดยเฉพาะ แต่ทุกใบจะได้รับการดูแลอย่างดี เวลาใช้ก็ระมัดระวัง เวลากลับบ้านก็นำมาเช็ดก่อนนำไปเก็บเข้าที่
ส่วนรถสปอร์ตนั้น เป้บอกว่าหลงใหลมาตั้งแต่เด็ก พอโตมาพ่อ-แม่อนุญาตให้ขับก็เก็บเงินซื้อรถสปอร์ตทันที “ชอบที่ดีไซน์ก่อนเลยค่ะ แต่ที่รักมากเพราะมีค่าทางจิตใจ เป้ชอบขับรถค่ะ เป็นสมาชิกชมรมซูเปอร์คาร์ ที่มี หมู-พัฒพงษ์ ธนวิสุทธิ์ เป็นประธานชมรม ถ้าเสาร์-อาทิตย์ไหนมีแข่งรถเป้ก็ไปแข่งด้วย หรือบางทีก็ขับออกต่างจังหวัด ตรงนี้ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว”
ด้วยเวลาอันน้อยนิด ทำให้เวลาหมดไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจากกันสาวน้อยหน้าหวาน เปเป้ ยังสรุปทิ้งท้ายว่า ในวันนี้เธอมีความสุขกับชีวิตมาก แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นสถาปนิก มีตำแหน่งแบบเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แต่การได้ทำในสิ่งที่รัก อย่างการทำเสื้อผ้าดีๆ ให้คนใส่ออกมาแล้วสวยนั้น เป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจ
“เป้คิดเสมอว่า งานทุกอย่างต้องทำจากใจค่ะ เมื่อเราทำในสิ่งที่เราชอบเรารัก งานจะออกมาดี แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องบริการลูกค้าทุกๆ คนอย่างดีที่สุด เเละให้เขาได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดจากเราค่ะ”