ชีวิตที่บ้านบนดอยนั้น สุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้าปนเปกันไป ความสุขสำหรับฉันคือการไปตลาดและการได้ขับรถไปเที่ยว แม้จะมีเงินน้อยนิดอย่างไร แต่สิ่งที่จะต้องมีอยู่เสมอมิได้ขาดคือค่าน้ำมันรถ
และเพื่อนใจของฉันเองก็ได้เริ่มหัดที่จะใช้ไฟที่ได้จากการชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ เพื่อให้แสงสว่างในเวลากลางคืน ยามที่ต้องทำงานอย่างเร่งมือ
สถานที่ที่มุ่งหน้าไปนอกเหนือเส้นทางไปตลาด มักจะเป็นถนนที่ออกไปสู่นอกเมืองที่ไกลออกไปจากจุดที่เราอยู่ แต่ฉันก็ไม่ได้ไปไหนไกลเกินกว่าเวลาที่กำหนดไว้ให้ตัวเอง
หากออกไปตลาดแต่เช้าตรู่ เวลาที่ฉันจะกลับบ้านก็อยู่ในราวแปดโมงถึงเก้าโมงเป็นอย่างสาย หากเลยเวลาดังกล่าวไปแล้วนั้นฉันจะรู้สึกผิดขึ้นในทันที..และหาได้จะออกไปเที่ยวได้ทุกวันไม่ เป็นเพียงบางวันเท่านั้นที่ฉันจะรู้สึกพร้อมและพอจะมีเงินติดตัว ในวันเช่นนั้นที่ฉันจะบอกกล่าวกับเพื่อนใจและให้รางวัลเป็นการขับรถเที่ยวแก่ตัวเอง
ฉันชอบการขับรถไปเที่ยวไหนต่อไหนเพียงคนเดียวเสมอ เพราะรู้สึกอิสระและไม่ต้องเกรงใจใคร เมื่อถึงเวลาที่เห็นสิ่งใดๆ ที่น่าสนใจที่จะหยุดหรือเลี้ยวรถเข้ามองด้วยใจที่มีจินตนาการ
ฉันชอบมองดูบ้านเรือนและผู้คนตามชนบท ฉันชอบภูเขา
ฉันหลงรักความเย็นเยียบและกลิ่นจากป่า..และรู้สึกหัวใจฟูฟ่องในทุกๆ ครั้งที่ได้ขับรถเข้าไปใกล้ๆภูเขา
ฉันประทับใจภาพถ่ายเก่าๆ ของหญิงสาวชาวล้านนา โดยเฉพาะภาพหญิงสาวโบราณเปลือยอกและนุ่งผ้าซิ่นลายขวาง ภาพเก่าของหญิงสาวเหล่านั้นเพียงไม่กี่ภาพที่มี ฉันก็สามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการปั้นงานได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นเรื่องราวของความสุข
สำหรับความทุกข์..อันเนื่องมากจากฉันไม่มีโทรศัพท์ ไม่คิดที่จะติดต่อกับใครๆ ที่เคยรู้จัก ฉันเหมือนคนที่หายไปจากโลกใบเก่า แล้วมาผุดอยู่ที่นี่ตรงนี้ ไม่ว่าจะร้ายจะดี ฉันก็มีอยู่แต่ที่นี่และเดี๋ยวนี้..ฉันคิด
ดังนั้นเมื่อยามที่มีความทุกข์ จึงไม่มีเพื่อนเป็นที่ระบาย และมักเก็บงำความทุกข์นั้นๆ ไว้เพียงลำพัง
ใต้ถุนบ้านของเรานั้นมีสุนัข..เมื่อไปอยู่เชียงใหม่ใหม่ๆ นั้น ฉันได้ไปขอลูกสุนัขมาจากละแวกอำเภอแม่วาง 2 ตัวและมีสุนัขอื่นๆ อีก 2-3 ตัว มาอยู่เป็นเพื่อนกับเรา
ในตอนกลางคืนนั้นมืดสนิท หากเวลาใดที่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า ใจฉันจะประหวัดไปทุกๆ ครั้งว่า ดึกอย่างนี้แล้วใครขึ้นมา ใครจะไปไหน หรือจะผ่านมาทำไมหนอ
ขณะที่ในตอนกลางวันที่เราออกไปข้างนอกบ้านด้วยกันนั้น เมื่อกลับมาฉันมักจะได้กลิ่นยาดองเหล้าคละคลุ้งไปหมดใต้ถุนบ้าน..มีคนมาดื่มยาดองเหล้าที่ฉันดองเอาไว้ที่ใต้ถุนบ้านในขณะที่เราไม่อยู่
และในยามกลางวันแสกๆ อีกเช่นกันที่มีชายจากหมู่บ้านข้างล่างขึ้นมาแวะเวียนทำทีพูดคุยกับเราและลงท้ายด้วยการขอเงินจากเราดื้อๆ และขู่เราด้วยการยิงปืนยาวสำหรับยิงนกของเขาที่ถือมาขึ้นฟ้า แม้เราจะมีเงินเพียงห้าสิบบาทที่จะให้เขา ก็ทำให้เขาพอใจและเดินจากบ้านของเราไปในที่สุด และกลับขึ้นมายังบ้านของเราอีกในวันต่อมา ด้วยการมาขโมยข้าวสารที่ใต้ถุนบ้าน
ฉันและเพื่อนใจทำได้เพียงแต่นั่งแอบมองพฤติกรรมเหล่านั้นอยู่บนบ้านอย่างเงียบๆ
ในที่สุดฉันจึงเลิกดองยาดองเหล้า เททิ้งยาดองในโหลอออกไปจนหมด และเลิกดองยานับแต่นั้นมา
และคิดค้นหาวิธีที่ทำให้คนหวาดกลัวด้วยการจุดธูปและปักลงไปบนพื้นดินรอบๆ บ้าน โดยหวังให้กลิ่นธูปล่องลอยไปเข้าจมูก ของคนผู้ที่อาจจะมาผ่านมาในยามวิกาล
ส่วนในเวลากลางวันฉันลงมือตอกหิ้งเล็กๆ จากเศษไม้แล้วนำรูปขาวดำของหญิงสาวล้านนาโบราณผู้หนึ่งที่ฉันก็ไม่รู้จักไปวางไว้บนหิ้ง แล้วนำเสื้อลูกไม้ตัวหนึ่งที่ถูกพับไว้ พร้อมกระถางธูป ไปวางไว้ข้างหน้ารูปนั้น
ฉันพยายามคิดค้นกลอุบายที่ทำให้คนกลัวและคิดว่าฉันอาจจะเลี้ยงผีไว้...
จนทำให้เพื่อนๆ ผู้ทำงานศิลปะของเพื่อนใจของฉันกล่าวกับฉันเล่นๆ ว่า "เธอมิสติค (Mystic)"
ในบางวันที่ออกไปเดินสำรวจพื้นที่นอกตัวบ้าน และไปยังทางเดินที่ปากทางเข้าบ้านนั้น ฉันได้พบกับซากเศษกระโหลกศรีษะของสุนัขที่ราวกับถูกตัดแล่ด้วยมีดอันคมกริบของผู้ชำนาญ หลือทิ้งไว้ให้เห็นเพียงลูกนัยย์ตากลมๆ ที่ยังใหม่สด อยู่ในเบ้า
สิ่งเหล่านี้สร้างความอกสั่นหวั่นวิตกให้กับฉันอย่างเงียบๆ ด้วยรู้สึกว่ามีความไม่ปลอดภัยอยู่รอบๆ ตัวเรา ไหนจะขโมยและไหนจะคนที่กินเนื้อสุนัข
ฉันค่อยๆ หาทางที่จะเรียนรู้และปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้กับความกลัวต่างๆ ที่มีมาแผ้วพานในจิตใจ
และส่วนลึกก็แสนจะสงสารเพื่อนใจ ซึ่งเดิมทีไม่ได้ปรารถนาที่จะมาอยู่ในที่ที่ทำให้ต้องมีความลำบากเพิ่มขึ้นแต่ประการใด แต่มาเพราะตามใจฉันนั่นเอง และก็ไม่เคยปริปากบ่น ได้แต่เพียงทำงานไปอย่างเงียบๆ เขาเป็นเช่นนั้นเสมอ
ในบางวันฉันยืนมองลูกมะละกอบนต้น ที่ปลูกถูกไว้ในที่ดินฝั่งตรงข้ามลำธารข้างบ้าน ชวนให้คิดถึงผัดมะละกอใส่ไข่ ที่เคยกินฝีมือของย่าเมื่อตอนเด็กๆ แต่แล้วก็ต้องตัดใจเพราะไม่เห็นมีเจ้าของที่จะให้เราขออนุญาต และรู้สึกผิดกับเพียงแค่คิดที่จะข้ามไปเด็ดเอามะละกอของเขามาผัดกิน..
ในขณะช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างหักเหโดยสิ้นเชิงนั้นเอง เพื่อนใจของฉันได้รับหนังสือธรรมะเล่มใหญ่เล่มหนึ่งมาจากพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งผู้ซึ่งมีอุปการะคุณต่อเราคือ คุณศรีวรา อิสสระ หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า "อุปลมณี"
เพื่อนใจของฉันเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ วันทั้งวันของเขาหมดไปกับการทำงานอย่างเงียบๆ ฉันจึงเป็นคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเสียเอง
ในช่วงแรกที่เปิดอ่านและเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ฉันถึงกับวางหนังสือเล่มนั้นไม่ลง ด้วยเนื้อหาแห่งการปฏิบัติธรรม ต่อสู้ฟาดฟันกับกิเลส เพื่อให้ถึงการพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงของ หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง
ฉันนั่งอ่านหนังสือเล่มนั้นด้วยความประทับใจและรู้สึกราวกับได้พบที่พึ่งและบางสิ่งบางอย่างที่มาเป็นแสงสว่าง ฉันจึงขออนุญาตที่จะอ่านเนื้อความในหนังสือนั้นให้เพื่อนใจของฉันฟัง เมื่อเขาตกลง ฉันจึงนั่งอ่านหนังสือให้เขาฟังในขณะที่ทำงานเสมอๆ
ฉันได้พบคุณประโยชน์อันแสนยิ่งใหญ่จากหนังสือเล่มนี้ ในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติของพระป่า ที่อยู่อย่างสันโดษและมักน้อย ฉันเริ่มมีธรรมะเป็นที่พึ่ง และเชื่อมั่นลึกๆ ว่า หากเราเป็นคนดี ความดีนั้นจะเป็นเครื่องปกป้องเกื้อกูลเรา
แม้ว่าชีวิตของฉันขณะนั้น จะมีเรื่องราวภายในจิตใจที่ต้องต่อสู้อย่างมากมายก็ตาม
ภาพถ่ายโดย : เกรียงไกร ไวยกิจ และ มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews