xs
xsm
sm
md
lg

ประสบการณ์ 100 เวที ของ “สาวิตรี โรจนพฤกษ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>สาวสวยผู้นี้เป็นพิธีกรระดับแถวหน้าของเมืองไทย ที่ผ่านประสบการณ์ถือไมค์ไฟส่องหน้ามาหลายร้อยเวที แต่ใครจะรู้บ้างว่าความสำเร็จของพิธีกรสาวมืออาชีพคนเก่งนี้ ไม่ได้ผ่านหลักสูตรหรือคลาสการสอนใดๆ เธออาศัยความที่ใจรักในอาชีพ ฝึกฝนเก็บเกี่ยวความรู้ผ่านความตั้งใจที่เธอมีให้กับทุกชิ้นงาน

ถ้าจะเรียกเธอว่า “พิธีกร 100 เวที” ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะจากวันที่เธอเริ่มเป็นพิธีกรให้กับรายการทีวีชื่อดังเมื่อสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผ่านมาถึงวันนี้ “จูน-สาวิตรี โรจนพฤกษ์” ได้เดินบนเส้นทางสายพิธีกรมานับ 10 ปีแล้ว ได้ผ่านประสบการณ์พิธีกรมาหลายร้อยเวทีแล้ว และได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดำเนินรายการในงานอีเวนต์ต่างๆ ครบถ้วนทุกรูปแบบที่มีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานแถลงข่าว, งานสัมมนา, งานปาร์ตี้ ไปจนถึงงานแบบเป็นทางการที่ต้องรับเสด็จ

แม้จะประสบความสำเร็จในสายอาชีพพิธีกรเป็นอย่างมาก จนถือได้ว่าเธอคือหนึ่งในพิธีกรที่คิวทองที่สุดของเมืองไทย แต่ถ้าย้อนกลับไปสมัยเรียน เมื่อมีคำถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร... “พิธีกร” คงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเธออย่างแน่นอน

“จูนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจูนจะได้มาทำอาชีพพิธีกรอย่างทุกวันนี้ คิดแต่จะทำงานราชการหรือองค์กรภาครัฐมาโดยตลอด เพราะเราเรียนมาทางรัฐศาสตร์และที่บ้านก็สนับสนุนมาก เรื่องพิธีกรไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลย สมัยเรียนหนังสือจูนไม่เคยมีบทบาทด้านการพูดในที่สาธารณะ ไม่เคยเป็นนักโต้วาทีของโรงเรียน พรีเซนต์งานหน้าชั้นเรียนก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร และไม่เคยเป็นพิธีกรงานโรงเรียนหรือกิจกรรมอะไรเลย เพียงแต่จะเป็นคนที่ชอบพูดมาก อยู่กับเพื่อนนี่เมาท์สนุกมาก”

ประตูที่เปิดสู่อาชีพพิธีกรของสาวิตรี เริ่มต้นมาจากเวทีประกวดสาวแพรวเมื่อปี 2545 ที่แม้เธอจะไม่ได้คว้ารางวัลกลับบ้าน แต่นั่นเป็นโอกาสที่ทำให้ทีมงานรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งได้เห็นแววของเธอ จึงได้ติดต่อให้มารับหน้าที่พิธีกร

“ไม่รู้เขาเห็นอะไรในตัวเราเหมือนกัน เพราะเราก็แค่เดินแบบแล้วก็พูดแนะนำตัว ตอนนั้นเพิ่งเริ่มเข้าวงการ โดยจูนรับแต่ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เพราะใช้เวลาไม่นาน ไม่กระทบกับการเรียน งานอะไรที่ต้องการคิว ต้องขาดเรียนนี่ ที่บ้านจะไม่อนุญาตเด็ดขาด....

พอเข้าไปคุยรายละเอียดงานกับเขา ก็รู้สึกว่ามันน่าสนุก ก็ลุยทำเลย ไปอัดเทปแรกนี่ตื่นเต้นนะ เพราะมันเป็นประสบการณ์ใหม่มากสำหรับเรา โชคดีทีรายการมีพิธีกรหลายคน ก็เลยได้เพื่อนร่วมงานดีๆ เพื่อนๆ พี่ๆ คอยแนะนำ รายการชื่อ I Seen เป็นรายการวัยรุ่นหน่อย ก็จัดอยู่หลายปี และหลังจากนั้นก็เริ่มมีงานพิธีกรเข้ามาเรื่อยๆ...

สำหรับงานพิธีกรอีเวนต์ จูนก็เข้ามาแบบเริ่มจากศูนย์เช่นกัน ไม่รู้เลยว่าเขามีขั้นตอนยังไง ต้องทำอะไรบ้าง พูดอย่างไร ก็พยายามอาศัยการสังเกตดูและเรียนรู้จากทีมงาน ก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ ซึ่งความผิดพลาดนับเป็นประสบการณ์ที่สอนให้เราเรียนรู้ได้ดีที่สุด”

สาวิตรีบอกว่าเธอโชคดีที่ได้ที่ร่วมงานกับคนเก่งๆ ที่คอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์ “ได้พิธีกรที่ทำงานคู่กัน ช่วยไว้เยอ่ะค่ะ อย่างพี่เอิร์ธ เขาจะสอนว่าเราต้องเดินดูรายละเอียดของงาน ไม่ใช่อ่านแต่ในสคริปต์ แต่ต้องไปเดินสำรวจของจริง เพราะมันจะทำให้เราพูดได้ชัดเจนและละเอียดขึ้น ดูว่าอะไรตั้งอยู่ตรงไหน บันไดขึ้นฝั่งไหน เรื่องรายละเอียดและน้อยเหล่านี้แหละที่จะทำให้งานเราราบรื่นไม่มีสะดุด

อย่างพี่ฮาร์ต-สุทธิพงษ์ เขาก็จะสอนเรื่องการพูดชื่อ ที่จูนเคยพูดผิดแล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่ให้ผิดอีก ซึ่งพี่ฮาร์ตบอกว่า เราเป็นมนุษย์มันมีผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปคิดว่าจะห้ามพูดผิด มันจะยิ่งทำให้เราเกร็งไปเอง หรืออย่างคุณพีเค เขาก็จะเก่งเรื่องสร้างบรรยากาศแห่งความสนุกสนานในงาน มีการปล่อยมุก เขาก็ช่วยเราคิดมุกเด็ด มีฝึกซ้อมการโยนมุขด้วยนะ ว่าจะตอบโต้กันช่วงไหนให้จังหวะมันดูน่าสนใจ”

แม้จะไม่เคยเรียนรู้หรือฝึกหัดการเป็นพิธีกรมา แต่ฟังเธอพูดจาดูชัดถ้อยชัดคำ มีน้ำเสียงและจังหวะจะโคนที่นุ่มหู จูนบอกต้องยกความดีให้กับทางครอบครัว “ที่บ้านจะสั่งสอนอบรมให้เราพูดชัดตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบให้เราพูดเสียงเล็กเสียงน้อย หรือภาษาวัยรุ่น เป็นเรื่องที่เขาซีเรียสมาก จูนเลยจะถนัดใช้ภาษาที่ออกแนวทางการ สุภาพ

ที่สำคัญคือเขาจะไม่ให้พูดไทยคำ อังกฤษคำเด็ดขาด เขาจะสอนว่าถ้าจะพูดไทยก็พูดให้ชัดๆ หรือถ้าจะพูดภาษาอังกฤษก็ต้องพูดไปเลย ออกเสียงให้ถูกต้อง ซึ่งการปลูกฝังแบบนี้ทำให้เราสามารถพูดได้ชัดเจนทั้ง 2 ภาษา พอมาทำพิธีกรก็จะเลยสามารถสลับใช้ 2 ภาษานี้ได้อย่างไม่มีสะดุด หรือสำเนียงเพี้ยน...

นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จูนมีอาชีพพิธีกรอย่างทุกวันนี้ เพราะจูนเข้ามาในจังหวะที่ดี ในช่วงที่จูนเริ่มงานพิธีกรนั้น คนที่สามารถใช้ทั้ง 2 ภาษาได้ดีมีน้อย พิธีกรที่ถนัดภาษาไทยก็ภาษาอังกฤษไม่รอด หรือคนที่ถนัดภาษาอังกฤษก็จะเป็นโตเมืองนอก ไม่แตกฉานภาษาไทย แต่จูนพอทำได้ทั้ง 2 อย่าง ก็เลยได้งานเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ใครๆ ก็พูดได้ทั้ง 2 ภาษา จูนคงไม่ได้ก้าวขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ได้”

นอกจากจังหวะแล้วเรื่องโอกาสก็เป็นสิ่งสำคัญ และโอกาสสำหรับเธอคงไม่มีครั้งไหนจะสำคัญไปกว่า การเป็นพิธีกรให้กับงาน บางกอก แฟชั่น วีก ปีแรก เมื่อปี 2548 ที่เธอรับหน้าที่เป็นพิธีกรโซโลเดี่ยว 8 วันรวด

“งานนั้นถือได้ว่าเปิดโอกาสให้จูนได้เรียนรู้งานพิธีกรครบทุกแขนง และได้โชว์ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะมีทั้งงานแถลงข่าวทั้งผู้สื่อข่าวไทยและต่างประเทศ งานสัมมนาเรื่องการออกแบบ การสัมภาษณ์คน งานปาร์ตี้ ไปจนถึงงานรับเสด็จ เรียกว่าได้ทำทุกอย่างเลย ทั้งเหนื่อย งานหนัก และก็เครียด แต่ก็สนุกที่ได้เรียนรู้ ได้ทำอะไรที่ท้าทายความสามารถของเรา

พอหลังจากงานนั้นหลายๆ คนเห็นว่าเราสามารถทำได้ ก็มีงานติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และก็ทำมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ที่ยึดอาชีพหลักเป็น “พิธีกร” อย่างเต็มตัว ทุกวันนี้มีงานทุกสัปดาห์นะ บางช่วงก็งานเยอะ บางช่วงก็เงียบหน่อย เฉลี่ยสัปดาห์ละประมาณ 3-4 งาน...

ทุกงานที่เข้ามาจูนพูดได้เต็มปากว่า เขาติดต่อมาเพราะผลงานของเรา เพราะจูนไม่เคยใช้คอนเนกชัน ใช้เส้น หรือแบบพี่จ้างหนูนะ งานหน้าอย่าลืมหนู จูนไม่เคยพูดแบบนั้น เพราะจูนไม่ได้เป็นคนมั่นใจมาก เราเต็มที่กับงานที่เราทำทุกชิ้นก็จริง แต่เราไม่รู้ว่าเราทำออกมาได้ดีอย่างที่เขาตั้งความหวังไว้หรือไม่ ถ้ามาแบบเส้นสาย เราไม่รู้ว่าเราจะมีความสามารถพออย่างที่เขาต้องการหรือเปล่า แต่ถ้าเขาเลือกเรามาแล้ว ดูจากผลงานเรา เขาเห็นว่าเราทำได้ ทำไหว เขาถึงจ้าง จูนก็จะทำงานได้อย่างมั่นใจเต็มที่”

เคล็ดลับความสำเร็จในการทำอาชีพพิธีกร สาวจูนบอกว่าหัวใจสำคัญที่สุด คือ การเตรียมพร้อม “เราต้องเตรียมตัวให้มาก เพราะพิธีกรอีเวนต์คืองานสด ที่เกิดความผิดพลาดได้ทุกเมื่อ การเตรียมพร้อม หรือซ้อมก่อน เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยลดความผิดพลาดได้ ต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีสติ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี”

เมื่อถามถึงเสน่ห์ของอาชีพพิธีกร ที่ทำให้เธอตกหลุมรักและยึดในอาชีพนี้มาเป็น 10 ปี สาวจูนกล่าวว่า “ก็เคยมีคนถามนะว่า ไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นเหรอ จูนก็คิดว่าเมื่อถึงวันหนึ่งเราก็คงต้องเลิก ไม่มีใครเป็นพิธีกรได้ตลอดหรอก มันจะมีช่วงอาชีพของมัน ตอนนี้เรายังสนุกกับมันอยู่ แต่ก็มองเผื่ออนาคตด้วย หาอาชีพอื่นมารองรับไว้

โดยตอนแรกก็คิดเยอะมากว่าจะทำอะไรดี มองหาสิ่งที่เราชอบ เคยคิดว่าในเมื่อเราเป็นคนชอบรับประทาน ตระเวนชิมของอร่อยมาเยอะ น่าจะทำเรื่องอาหาร แต่ก็สำรวจตัวแล้วว่าชอบทานแต่ไม่ได้ชอบทำ เปิดร้านคงไม่รุ่ง เพราะการจะทำธุรกิจอะไร จูนอยากลงมือทำเอง ไม่อยากแค่ออกเงินหรือร่วมทุน เพราะเราไม่คิดว่าใครจะมาดูแลได้อย่างที่เราต้องการแน่ๆ ต้องลงมาคุมงานเอง ถ้าจะเปิดกิจการ หรือเปิดร้านมันต้องมีไปเฝ้าร้าน ได้สัมผัสพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง ซึ่งเราคงไม่มีเวลาขนาดนั้น พอได้ไอเดียเรื่องการธุรกิจแฟชั่นผ่านออนไลน์มันก็ตอบโจทย์เราตรงนี้พอดี

ก็ร่วมกับเพื่อนสนิท “ลูกเกด-จิรดา โยฮาระ” เปิดแบรนด์ hahaha thehappygirl ทำเสื้อผ้าสไตล์เราขาย ใช้เทคโนโลยีมาช่วยให้เราสามารถดูแลร้านผ่านอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่กระทบงานพิธีกร และได้สื่อสารกับกลุ่มลูกค้าโดยตรง ซึ่งเสื้อผ้าแบรนด์เราจะเน้นแนวคลาสสิก แบบ Timeless และเป็นเสื้อที่แต่งได้ทุกวัน คือ ออกแนวลำลองแต่มีสไตล์ เพราะเราอยากให้คนหันมาสนใจสนุกกับการแต่งกาย ไม่ใช่แต่งสวยเฉพาะแต่วันที่ออกงานหรือมีนัดสำคัญ แต่คุณสามารถแต่งตัวได้ทุกๆ วัน

ตอนนี้ทำร้านมาครบ 2 ปีแล้ว ก็ไปได้สวย มีการตอบรับดีที่ ซึ่งร้านนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงไลฟสไตล์ต่างๆ เราก็จะมาแชร์เรื่องน่ารู้ต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่น่าสนใจ หนังสือที่อ่าน ร้านอาหารอร่อยๆ เผื่อแผ่เรื่องราวต่างๆ ในการใช้ชีวิต ให้กับสาว Happy Girl ที่มีความชอบในเรื่องราวสไตล์เดียวกันกับเรา”

แต่แม้จะดูรุ่งเรื่องทางธุรกิจแฟชั่นนี้ สาวจูนก็ยืนยันว่าไม่มีทางทิ้งงานพิธีกรไปแน่ “เพราะอาชีพนี้มันน่าสนใจมากนะคะ มีเรื่องใหม่ให้เราได้เรียนรู้ตลอด ได้พบปะผู้คนและทุกงานจะมีรายละเอียดให้เราได้ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นสินค้าใหม่ วาระสำคัญ ความเป็นมาต่างๆ ซึ่งมักจะเป็นเทรนด์ที่นำสมัย สินค้าใหม่ ที่เราจะได้ทำความรู้จักก่อนใคร ถือเป็นสิทธิพิเศษที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้โอกาสแบบนี้ จูนก็คงจะทำตรงนี้ไปเรื่อยๆ ตราบที่ยังมีคนจ้างเราอยู่”

:: My Idol

“จูนชอบพี่ดู๋-สัญญา เพราะเขาสามารถสัมภาษณ์คนได้ทุกแบบและได้ทุกอารมณ์ ทั้งสนุกสนาน เครียด เศร้า ดราม่า ซีเรียส เขาทำได้หมด ส่วนถ้าผู้หญิง จูนประทับใจ ได๋-ไดอาน่า มาก เพราะแม้เขาจะอายุน้อยกว่าเรา แต่เขาทำงานนี้มานานกว่าและเก่งมาก จูนเคยเห็นเขาเป็นพิธีกรในงานหนึ่ง พูดภาษาไทยกับคนในงาน หันไปสัมภาษณ์ผู้บริหารเป็นภาษาอังกฤษ และหันไปคุยกับอีกคนด้วยภาษาจีน ซึ่งเขาทำได้อย่างคล่องแคล้ว ทุกภาษาไม่มีสะดุด

พอได้มาร่วมงานด้วยกัน รู้เลยว่าเขามืออาชีพจริงๆ เพราะในขณะที่เราเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อย จะหมดแรงแล้ว เขาเองก็งานหนักไม่น้อยไปกว่าเรา แต่ยังสดใส ร่าเริง แรงดีไม่มีตก ทุ่มเทมาก ทักทายทุกคนอย่างยิ้มแย้มตลอด” :: Text by FLASH

>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น