>>“Woman is most beautiful when she is in love: ผู้หญิงดูสวยที่สุด เวลามีความรัก” คอนเซปต์อันแสนหวานชวนฝันสไตล์เฟมินีนของแบรนด์ LOVEBIRD ซึ่งโด่งดังมาจากโลกออนไลน์โดยมี “แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย” ดีไซเนอร์สาวสวยเป็นผู้ปลุกปั้นแบรนด์นี้ด้วยตัวของเธอเอง ในที่สุดเลิฟเบิร์ดกำลังก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นอย่างเต็มรูปแบบแล้ววันนี้ พร้อมด้วยเอกลักษณ์อันชัดเจนและไม่เหมือนใคร
ถึงแม้ว่าแพมจะมีดีกรีปริญญาตรีเอกภาษาฝรั่งเสสจ ากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นเจ้าของปริญญาโทสองใบทางด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของออสเตรเลีย แต่นั่นกลับไม่สามารถหยุดความฝันของเธอในการเป็นดีไซเนอร์เลยแม้แต่น้อย “คุณพ่อคุณแม่อยากให้เราเป็นอาจารย์ เพราะเขามองว่าเราเงียบๆ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครมาก แต่ถึงแพมจะเป็นคนเงียบ แพมก็ไม่ได้อยากจะเป็นอาจารย์นะคะ แพมเคยสอนฝรั่งเศสที่บ้านสักพักนึง มีเด็กมาเรียนที่บ้านแต่แพมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรา จริงๆ แพมอยากเรียนแฟชั่นดีไซน์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่สมัยนั้นเหมือนว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจ เพราะตอนนั้นแฟชั่นยังไม่บูมเหมือนตอนนี้
ตั้งแต่จะเริ่มเรียนปริญญาตรี แพมก็รู้แล้วว่าแพมอยากเรียนทำเสื้อผ้าแต่ว่าท่านไม่ให้ ท่านบอกให้ไปเรียนเสริมเอา แต่แพมเป็นคนที่ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้ค่ะ คือต้องทำทีละอย่าง แพมเลยไม่ได้เรียนแฟชั่นตอนนั้น แต่พอหลังจากเรียนโทเสร็จแพมมีโอกาสได้ไปทำงานที่เอเจนซี่โฆษณา พอไปทำอยู่สักสองปีกว่า เราก็รู้สึกว่างานนี้ยังไม่ได้ตอบโจทย์ว่ามันคือสิ่งที่เราอยากจะทำตลอดไป ไม่ได้มีแรงผลักดันหรือกระตุ้นชีวิตเรา”
เมื่อการเรียนและทำงานในสาขาอื่นๆ ยังไม่ใช่สิ่งที่แพมทายาทบีทาเก้นเห็นภาพอนาคตของตัวเองร่วมกับเส้นทางอาชีพนั้นๆ เธอจึงย้อนกลับไปตามหาความฝันที่บ่มเพาะเอาไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว ด้วยการลงเรียนคอร์สแฟชั่นดีไซน์ที่สถาบันราฟเฟิลส์ดีไซน์ “แพมอยากเรียนทำเสื้อผ้าแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไร เราจะทำได้จริงหรือเปล่า แพมเลยลองไปเรียนที่ราฟเฟิลส์ดู คือไปเรียนเอาความรู้เบสิกค่ะว่าไอ้แฟชั่นดีไซน์ที่เราอยากเรียนเนี่ยมันคืออะไร มันใช่สิ่งที่เราอยากจะเรียนไหม แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเรียนให้จบนะคะ คือแพมแค่อยากรู้แค่พื้นฐานเฉยๆ จะให้เรียนจริงๆ ก็คงเรียนไม่ไหวหรอกค่ะ เพราะแพมเองก็เรียนโทมาสองใบแล้วไม่มีเวลาจะไปนั่งเรียนปริญญาตรีอีก
ที่นี่พอเรียนได้ปีนึง แพมก็อยากจะพิสูจน์ตัวเอง คือตอนนั้นแพมรู้แล้วว่าเย็บคืออะไร แพทเทิร์น วาดรูปสเกตชิ่งคืออะไร เลยออกมานั่งทำสี่คอลเลกชั่นของตัวเองลองส่งที่เซนต์มาร์ติน ปรากฏว่าได้ตอบรับเข้าเรียนสาขาแฟชั่นมาร์เกตติ้ง เขาบอกว่ามันเหมาะกับเราเพราะเราออกแบบเสื้อผ้าที่มันค่อนข้างจะคอมเมอเชียล ไม่ได้อาร์ตมาก ตอนนั้นก็คิดว่าจะไปเรียนที่นั่น แต่สุดท้ายแล้วกลับมาคิดอีกทีคือเราไม่ได้เรียนจบแฟชั่นดีไซน์มา เขาต้องให้เรากลับไปเรียนปริญญาตรีใหม่ ซึ่งแพมคิดว่ามันไม่ใช่เวลาแล้ว จุดนี้แพมพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเราสามารถทำคอลเลกชั่นขึ้นมาได้ เราเข้าเซนต์มาร์ตินได้นะ แพมก็ไม่อยากเสียเวลาค่ะเลยลงมือลองทำเลิฟเบิร์ดดูว่าเป็นยังไง ปรากฏว่าผลตอบรับดีมาก ถึงตอนนี้ก็ทำมาสองปีแล้วเนี่ยค่ะเลยไม่ได้กลับไปเรียนอีก”
กว่าจะมาเป็นดีไซเนอร์ฝีมือดีที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งอย่างทุกวันนี้นั้น ใครจะเชื่อว่าก่อนหน้านี้สาวแพมเคยป่วยเป็นโรคบูลิเมียอยู่เกือบสิบปี “ตอนนั้นเป็นเด็กผุ้หญิง เราอยากจะผอม แล้วตั้งแต่เด็กคุณแม่จะให้ระวังเรื่องอาหารการกินตลอด แต่ตอนหลังแพมก็ไม่รู้ว่าไปถึงขั้นนั้นได้ยังไง คือกินแล้วรู้สึกผิด พอกินไปเราก็ต้องล้วงออกตลอด ทรมานมาก เป็นอยู่ 7-8 ปี ตอนหลังหลุดออกมาได้ พอหลุดออกมาได้ก็หลุดเลย วันนึงแพมคิดได้ว่า เราจะมานั่งกินๆ ล้วงๆ อยู่ทำไม ก็กินไปเลยสิ หลังจากนั้นสภาพจิตใจของแพมก็ดีขึ้น ทัศนคติในการกินก็ค่อยๆ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปกติค่ะ แพมรู้เลยว่าการที่เรากังวลเกี่ยวกับรูปร่างของตัวเองมากเกินไป มันไม่ได้ช่วยทำให้เราผอมสวยแต่มันกลับทำให้เราทรุดโทรมกว่าเดิม”
แพม-อณิชา ได้ใช้เรื่องราวในครั้งนั้นของเธอมาถ่ายทอดผ่านหนึ่งในสี่คอลเลกชั่นที่ทำให้เธอได้ตอบรับเป็นนักเรียนของลอนดอน เซ็นทรัล เซนต์มาร์ติน สถาบันแฟชั่นอันดับต้นๆ ของโลก “คอลเลกชั่นที่แพมส่งไปที่เซนต์มาร์ติน ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวเองค่ะ เล่าเรื่องชีวิตตัวเองและความเป็นผู้หญิงของแพม ตอนนั้นที่ส่งไปมีทั้งหมด 4 คอลเลกชั่นค่ะ อันนึงจะมีเกี่ยวกับสาวปาร์ตี้กลางคืน อีกอันนึงแพมได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Blood Princessคือแพมชอบดาร์กไซด์ของผู้หญิงเรา เหมือนภายนอกเราอาจจะดูเหมือนพริ้นเซสแต่จริงๆ แล้วเรามีดาร์กไซด์ข้างใน ส่วนอีกอันนึงพูดถึงความเป็นเฟมินิสต์ว่าผู้หญิงก็ลุกขึ้นมาทำงานได้นะ และอันสุดท้ายคือแพมเอาเรื่องที่เคยป่วยเป็นบูลิเมียมาเล่าค่ะ คอลเลกชั่นตอนนั้นเลยออกมาเป็นสี่แนวไม่เหมือนกันเลย”
ถึงแม้ว่าแพมจะไม่ได้ตัดสินใจไปเรียนต่อที่สถาบันเซนต์มาร์ติน แต่ 2 ปีที่ผ่านมาในเว็บไซต์ของแบรนด์ LOVEBIRD ได้รับการตอบรับและเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ จนมีแฟนคลับเป็นลูกค้าขาประจำอย่าง พลอย-พลอยพยัพ ศรีกาญจนา, ปู-ไปรยา สวนดอกไม้, ลีเดีย-ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา, วุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์, ศิลปินโฟร์-มด (โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร, มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ), แคท-แพท ศิลปินคู่พี่น้องแห่งค่ายกามิกาเซ่ (แคท-ซอนญ่า และแพท-แพททิน่า สิงหะ) และอื่นๆ อีกมากมาย “ลูกค้าที่ติดใจในเลิฟเบิร์ดกลับมาด้วยเพราะชอบคาแรกเตอร์ของเราและเชื่อมั่นในคุณภาพของเราจริงๆ คือสไตล์ของผู้หญิงเลิฟเบิร์ดจะเป็นแนวหวานซ่อนเปรี้ยว เป็นผู้หญิงไม่ตามเทรนด์ตามกระแส แต่ชื่นชอบความคลาสสิค ไร้กาลเวลา เป็นตัวของตัวเอง” แพมเล่าถึงเหตุผลที่ว่าทำไมแบรนด์ของเธอจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการโปรโมตเหมือนแบรนด์อื่นๆ
เมื่อได้รู้จักความเป็นเลิฟเบิร์ดผ่านการเล่าเรื่องของแพม เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมแพมถึงเลือกใช้ชื่อว่า “เลิฟเบิร์ด” แทนที่จะเป็นชื่อตัวเองเหมือนดีไซเนอร์ชื่อดังคนอื่นๆ “บอกตรงๆ เลยนะค่ะว่าแพมเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบเปิดเผยตัวเองมาก จริงๆ ตอนแรกที่เริ่มทำธุรกิจนี้ก็ไม่ได้อยากให้ใครรุ้ว่ามันเป็นของเรานะ แพมเลยพยายามหาชื่ออื่นๆ แล้วตอนนั้นที่เริ่มทำแบรนด์ เรื่องความรักเราเด่น เราเป็นผู้หญิงมีความรัก เราอยากแต่งตัวสวยทุกวัน แพมเลยคิดชื่อนี้ขึ้นมา คือผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นผู้หญิงแบบเลิฟเบิร์ดได้ค่ะ”
แต่ในทุกความสำเร็จย่อมมีความกดดันซ่อนอยู่ แพมเล่าให้ Celeb Online ฟังถึงอุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอว่า “ช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ เป็นจุดที่แพมต้องเลือกแล้วว่าเลิฟเบิร์ดจะไปทางไหน ถ้าแพมจะก้าวใหญ่ก็ต้องหาคนมาช่วย เพราะทำคนเดียวมันไม่สำเร็จ มันเกินตัว ตอนนั้นคิดว่าเราไม่มีพาร์ตเนอร์นะแต่เราก็ไม่อยากจะถอย แพมเลยทำทุกวิถีทางให้เลิฟเบิร์ดก้าวไปข้างหน้า ในที่สุดแพมก็ฟอร์มทีมเจอคนที่จะมาช่วยเราได้ ถือว่าคงจะเป็นดวง เป็นเดสตินี่ที่ทำให้แพมได้ทำเลิฟเบิร์ดต่อไป”
สำหรับคอลเลกชั่นอย่างเป็นทางการของเลิฟเบิร์ดที่มีชื่อว่า “Labyrinth” จะเปิดตัว ณ เลิฟเบิร์ดโชว์รูมในวันที่ 11 เมษายนนี้ แพมบอกว่าจะเป็นคอลเลกชั่นที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของแบรนด์นี้อย่างแท้จริง ด้วยการดึงเอาซิกเนเจอร์เด่นๆ เช่น จัมพ์สูทสั้น กางเกงขาผ่า เป็นต้น มาตอกย้ำให้ตลาดได้รู้ว่าไอเท็มเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นของเลิฟเบิร์ดไม่ใช่ใครอื่น “คือก่อนหน้านี้เราไม่เคยทำพีอาร์เลย คนก็จะไม่รู้ว่าไอเท็มพวกนี้จริงๆ แล้วเป็นของเลิฟเบิร์ด แต่ว่าก็มีคนก๊อปไปแล้วเรียบร้อย ตอนนี้แพมเลยอยากจะตอกย้ำว่าเนี่ยเป็นซิกเนเจอร์ของเราตั้งแต่แรก
และถึงแม้ว่าเลิฟเบิร์ดจะไม่ได้พูดถึงนกแต่เราก็นำความพริ้วไหวของปีกนกมาใช้ด้วยค่ะ คอลเลกชั่น Labyrinthนี้จะพูดถึงความลึกลับของผู้หญิง คือดูภายนอกแล้วเหมือนจะเข้าถึงง่าย แต่จริงๆ แล้วเป็นคนซับซ้อน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าถึงใจเราได้ง่ายๆ เหมือนสวน Labyrinth ของฝรั่งเศสที่คุณจะต้องเดินไปจนถึงใจกลางแล้วถึงจะค้นพบเราได้ แพมแปรเรื่องราวพวกนี้มาเป็นเทคนิคในคอลเลกชั่นคือการพันผ้า การรูด ทำเลเยอร์ บวกกับทรงซิกเนเจอร์ต่างๆ ของเลิฟเบิร์ดค่ะ”
เมื่อเราถามถึงแพลนในอนาคตของเลิฟเบิร์ด ดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งตอบอย่างมุ่งมั่นว่า “แพลนสำหรับเลิฟเบิร์ดตอนนี้คือเป็นแพลนในอนาคตอันใกล้ที่เราจะไปถึงได้จริงมากกว่าค่ะ ภายในปีนี้แพมอยากให้คนรู้จักว่าเลิฟเบิร์ดคือใคร มีเอกลักษณ์อะไร ผู้หญิงเลิฟเบิร์ดเป็นยังไง แนวทางเสื้อผ้าของเรา รวมไปถึงแนะนำว่าเรามีจุดเด่นแตกต่างจากแบรนด์อื่นในตลาดอย่างไร ถ้าถามถึงในอนาคตแพมก็อยากจะขยายตลาดไปเมืองนอกด้วย แต่ว่ายังไม่ใช่โกลหลักๆ ตอนนี้ค่ะ
ตอนนี้แพมอยากให้คนเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้งก่อน เพราะเมื่อลูกค้าเข้าใจแบรนด์แล้วก็จะเข้าใจสิ่งที่เลิฟเบิร์ดทำออกมาค่ะ แล้วงานทุกชิ้นมีเรื่องเล่า แพมไม่อยากให้คนมาซื้อเสื้อผ้าเฉยๆ อยากให้เขารู้เรื่องราวเหล่านั้นด้วย” ดังคอนเซปต์ของแบรนด์ที่ว่า “เพราะผู้หญิงนั้นดูสวยที่สุดเมื่อมีความรัก” เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม “แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย” ถึงได้ดูมีความสุขขนาดนี้ เพราะเธอกำลังมีความรักกับแบรนด์เสื้อผ้าอันเต็มไปด้วยเรื่องราวอันงดงามของเธอที่มีชื่อว่า LOVEBIRD นั่นเอง
แฟนตัวยง “คริสเตียน ลูบูแตง”
“ถ้าเป็นรองเท้า แพมชอบคริสเตียน ลูบูแตงค่ะ เพราะผลงานของเขามันเซ็กซี่มาก ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนได้ใส่รองเท้าของเขาแล้วจะกลายเป็นอีกคนนึงเลย จะรู้สึกว่ามีพาวเวอร์ มั่นใจ เป็นผู้หญิงเต็มตัว นอกจากนี้ มีอีกสองแบรนด์ที่แพมชอบมากคือ เวอร์ซาเช่ และโรแบร์โต้ คาวาลลี่ เพราะสองแบรนด์นี้จะแบบแกลมๆ เซ็กซี่กำลังดี อย่างโรแบร์โต้เนี่ยในทุกคอลเลกชั่นเราจะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามกระแสเลย เขามีแนวชัดเจนของเขาเองทุกคอลเลกชั่นเลยค่ะ อาจเป็นเพราะว่าแพมไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ชอบอะไรแปลกใหม่มากนักแค่เล่นทวิสต์นิดหน่อยก็ดูดีมากแล้ว สิ่งที่ชอบที่สุดของเวอร์ซาเช่คือเสื้อผ้าเขาจะเน้นอก เอว สะโพก ส่วนลายพริ้นต์นี่ต้องยกให้โรแบรโต้เลยค่ะ พวกลายเสืออะไรแบบนี้ เซ็กซี่มาก”
ตอบโจทย์ชีวิตให้ถูกด้วยการทำสิ่งที่ใช่
“ชีวิตทุกวันนี้ของแพมอยู่จุดที่มีความสุขที่สุดแล้ว ทุกอย่างที่แพมมีก็เอามาลงทุนกับเลิฟเบิร์ดหมด ทำให้แพมต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตไม่ว่าจะเป็นของ เป็นmaterial คือของพวกนี้สุดท้ายแล้วมันไม่ได้ตอบโจทย์ในชีวิตทั้งหมดอ่ะค่ะ เมื่อก่อนแพมอยากได้โน่นอยากได้นี่ แต่วันนี้พอแพมได้ทำเลิฟเบิร์ดมันทำให้แพมรู้สึกอิ่มในชีวิตมาถึงแม้ว่ามันยังจะไม่ได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น ด้วยทุกคนที่อยู่ในทีมเลิฟเบิร์ดเค้าเชื่อมั่นในตัวแพม ในตัวแบรนด์ เราอยุ่กันแบบครอบครัว ให้กำลังใจกัน แค่นี้ชีวิตก็มีความสุขมากแล้วค่ะ แพมอยากให้แบรนด์ประสบความสำเร็จเพราะแพมอยากจะมีชีวิตแบบนี้อยู่ต่อไปค่ะ”
เลิฟเบิร์ดคือ “ลูกสาว”
“ใช่ค่ะ ตอนแรกแพมก็ไม่คิดว่าจะรักเลิฟเบิร์ดมากขนาดนี้ ตอนแรกที่แพมเริ่มทำ มีกันอยู่สองสามคน แพมต้องทำทุกอย่าง ทั้งวิ่งเมสเสนเจอร์เอง ไปซื้อผ้าเอง จ่ายเงินเอง รับลูกค้าเอง เขียนอีเมลเอง ทำเองทุกอย่างมาหมดแล้ว จากวันแรกจนถึงวันนี้มันเหนื่อยมาก ถ้าเกิดมันล้มไปแล้วแพมต้องมาเริ่มใหม่ทั้งหมด แพมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเอาแรงขนาดนั้นมาจากไหนได้อีก เพราะสองปีที่ผ่านมามันล้มลุกคลุกคลาน มีช่วงขึ้นลงตลอดเวลา” :: Text by FLASH