By Lady Manager
เพราะการแต่งงานมิใช่จุดจบ… หากแต่คือ การเริ่มต้นที่ ‘คนสองคน’ ต้องปรับเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่
Bride To Be ขอส่งท้ายโปรเจกต์ด้วยคำแนะนำดีๆ จาก หมอแอร์-พ.ต.ต.หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์คนสวย โรงพยาบาลตำรวจ มาให้บรรดาคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ได้นำไปปรับใช้กันค่ะ
“เรื่องการใช้ชีวิตแต่งงาน ถามว่าง่ายมั้ย ก็ไม่ง่ายนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เหมือนเพลงที่บอกว่า รักไม่ช่วยอะไร มันจริงนะ รักอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีทั้งรัก ทั้งความเข้าใจ ทั้งการให้อภัยซึ่งกันและกัน ต้องรู้จักสื่อสาร รู้จักพูดคุยกัน” คุณหมอคนสวยเกริ่นนำ พร้อมเริ่มอธิบายถึงกฎเหล็ก 8 ข้อ ที่คู่สามีภรรยาควรปฏิบัติ เพื่อชีวิตหลังแต่งงานที่ราบรื่น สวีทหวานไม่มีเปลี่ยน...
กฎเหล็ก1 : ทำใจยอมรับ ในความแตกต่าง
แพทย์สาวจากโรงพยาบาลตำรวจบอกว่า สิ่งสำคัญลำดับแรกที่คู่สามีภรรยาจำเป็นต้องทำคือ การยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน และนั่นคือ ปราการด่านแรก ที่บอกได้ว่าคุณทั้งสองจะอยู่ร่วมกันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
“การแต่งงานคือ เรื่องที่คนสองคน ซึ่งมีความแตกต่างกัน แล้วต้องมาอยู่ด้วยกัน คนเราเมื่อคบกันใหม่ๆ จะคบกันที่ความเหมือน ประมาณว่าเราชอบอะไรๆ เหมือนกันเลย ดูหนังเกาหลีเหมือนกัน ชอบดารา ชอบเพลงแนวนี้เหมือนกัน คนสองคนก็จะชอบกัน แต่พออยู่กันไปจริงๆ คบกันไปลึกๆ มันไม่มีใครหรอกที่จะเหมือนเรา 100% ขนาดพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ยังนิสัยต่างกันเลย แล้วยิ่งมาจากคนละพ่อ คนละแม่ เลี้ยงดูมาต่างกัน มันก็ต้องมีความแตกต่างอยู่แล้ว ซึ่งหากคู่ไหนยอมรับความต่างเหล่านี้ไม่ได้ ก็จะเริ่มมีปัญหา เพราะคนเราพอแต่งงานกัน มันต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน ยิ่งอยู่ด้วยกันมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างของอีกฝ่ายมากเท่านั้น”
กฎเหล็ก2 : เลิกคาดหวังให้คู่รัก เป็นได้อย่างใจคุณ
คุณหมอแอร์เล่าว่า มีหลายคู่เชียวค่ะที่หลังแต่งงาน มักคาดหวังให้คู่ของตนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นดั่งใจที่ตัวเองต้องการ ซึ่งท้ายที่สุดก็นำมาซึ่งปัญหาความไม่เข้าใจกัน
“หลายคนอยากให้แฟนเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ พูดง่ายๆ คือ อยากให้แฟนเหมือนตัวเอง หรือเป็นให้ได้อย่างใจที่ตัวเองต้องการ เมื่ออยู่กันไป เราก็จะเต็มไปด้วยความคาดหวัง ยิ่งเราคาดหวังมากเท่าไหร่ แล้วเขาไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง เราก็จะยิ่งเป็นทุกข์ แล้วพอผิดหวังซ้ำๆ บ่อยๆ เราก็จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว แล้วจะเริ่มไม่เหมือนเดิม จากเมื่อก่อนจะให้ทำอะไรก็ได้ แต่พออยู่ๆ กันไป จะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มไม่ยอมทำตามใจอีกฝ่ายมากขึ้น มันจึงเกิดปัญหา
ยกตัวอย่างเช่น ตัวภรรยาเวลาจะไปสังสรรค์กับเพื่อน มักจะชวนแฟนไปด้วย อยากให้สามีไปด้วย แต่พอถึงคราวสามีอยากไปกินเหล้ากับเพื่อน ดันไม่อยากเอาภรรยาไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้หลายคนมาปรึกษาหมอบ่อยๆ มาน้อยใจบ่นว่า ‘ดูสิทีเรายังพาไปด้วยเลย ทีเขา ทำไมไม่ชวนเราไป ไม่อยากให้เราไป’ ซึ่งตรงนี้ถ้ามาถามหมอ หมอก็บอกเลยว่า เขาไม่ใช่คุณ เขาก็มีความชอบของเขาที่ไม่เหมือนกับเรา นี่แหละคือ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความแตกต่างของกันและกัน ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นให้ได้ แล้วก็อย่าไปคาดหวังในตัวเขามากเกินไป”
กฎเหล็ก3 : คบน้อย-คบนาน ต่างต้องปรับตัว
จิตแพทย์คนสวย ผู้มีประสบการณ์ตรงแต่งงานมาได้ 3 ปีเศษ อธิบายต่อเรื่องของการปรับตัวว่า ไม่ว่าจะคบกันมานานแค่ไหน เมื่อแต่งงานแล้วก็ล้วนแต่ต้องปรับตัวเข้าหากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ที่คบกันได้ไม่นานแล้วแต่ง ยิ่งต้องเตรียมรับศึกหนัก
“แต่ละคู่ ไม่ว่าคบกันก่อนแต่งงานมานานแค่ไหน ก็ต้องปรับตัวทั้งนั้น เพราะอย่างที่บอก..คนสองคนไม่มีทางที่จะเหมือนกัน 100% แต่คู่ที่คบกันมานานแล้วค่อยแต่ง จะได้เปรียบ เพราะเขาเรียนรู้กันมาเยอะ เคยผ่านประสบการณ์ทะเลาะกัน ดีกัน แล้วกลับมาคืนดีกัน เหมือนมีชั่วโมงบินสูงกว่า ความผูกพันมากกว่า แต่อย่างกรณีคู่ที่เพิ่งคบกัน ปุ๊บปั๊บยังไม่ถึงปีแต่งงานเลย อันนั้นอาจจะยังไม่ทันรู้จักกันดี แบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาสูง”
อะฮ้า...เมื่อฟังประโยคข้างต้นแล้ว อย่าเพิ่งตกอก ตกใจไปใหญ่ค่ะ สำหรับคู่รักที่อาจจะคบกันมาไม่นานนัก ทว่าเมื่อคุณทั้งสองมั่นใจ แต่งงานกันแล้ว คุณหมอก็มีคำแนะนำมาให้ด้วย
“สำหรับคู่ที่คบกันมาไม่นาน อาจจะต้องปรับเยอะสักหน่อย เรื่องแรกคือ ต้องทำความเข้าใจกันให้มาก ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วพูดคุยกัน อะไรที่เราไม่ชอบ อะไรที่เรารับไม่ได้ก็ต้องบอกกัน แต่ก็ต้องบอกกันแบบนิ่มนวล
บางทีมันเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจกัน ซึ่งบางคนชอบคิดว่าเขาน่าจะรู้นะ ว่าเวลาฉันทำหน้าเป็นตูดหมึกอย่างนี้ เขาน่าจะเดาได้แล้วว่าฉันงอน ควรจะมาง้อ แต่ในความเป็นจริงหมอจะบอกว่า บางเรื่องเขาไม่รู้หรอก มันต้องคุยกัน และคุยกันดีๆ ไม่ใช่มาด่ากัน ตำหนิกัน เช่นขึ้นเสียงว่า ‘ทำไมทำอย่างนี้ฉันรับคุณไม่ได้’ แทนที่จะบอกว่า เรารู้สึกไม่สบายใจเลยที่เห็นเธอกลับบ้านดึก ปรับได้หรือเปล่า
แต่อย่างไรเสีย คนที่คบกันมาน้อย แล้วแต่งงานก็มีข้อได้เปรียบอยู่เหมือนกัน ในเรื่องของความสด ความสวีทหวาน เพราะเพิ่งรักกันใหม่ๆ ความหวือหวาก็จะมีอยู่ ซึ่งทางที่ดีเราควรใช้ความหวือหวานี้ให้เป็นประโยชน์ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ ปรับความเข้าใจกันไป”
กฎเหล็ก4 : เลิกเสพติด ความหวือหวา
แพทย์สาวผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแนะให้รู้จักกับอีกปัญหา ที่คู่แต่งงานมือใหม่มักพบเจอ นั่นคือการ ‘เสพติดความหวือหวา’ ที่พบบ่อยก็คือ การที่คุณสาวๆ มักคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งพิเศษ ในโอกาสสำคัญเสมอ (เหมือนสมัยจีบกันใหม่ๆ) ทว่าอารมณ์คุณผู้ชายหลายคนเชียวค่ะ ที่แม้จะรักแสนรัก แต่ก็ทำสิ่งพิเศษต่างๆ ได้เฉพาะช่วงโปรโมชัน (promotion) รักกันแรกๆ เท่านั้น
“การที่คู่รักมีสิ่งดีๆ หรือสิ่งพิเศษให้กัน ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในบางครั้งหากเวลาเปลี่ยนไปแล้วปรับตัวไม่ได้ บางคู่ก็อาจเกิดปัญหา เรื่องการเสพติดความหวือหวา ติดว่าวันวาเลนไทน์ต้องมีช่อดอกไม้โตๆ แพงๆ ซึ่งหลายคนโดยเฉพาะกับผู้ชาย เขาจะไม่ชอบความหวือหวาแบบนั้นเท่าไหร่ ถามว่าทำไมแต่ก่อนทำได้ ต้องอธิบายว่าช่วงโปรโมชันเขาทำได้
มันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย ช่วงแรกจะจีบคนนี้ จะจีบให้ติดก็จะเป็นพ่อบุญทุ่ม ทำได้ทุกอย่าง แต่พอเป็นแฟนกันแล้ว ก็หมดโปรโมชัน แต่ถามว่ารักอยู่มั้ยก็ยังรักอยู่แหละ แต่บางทีคบกันมากๆ หลายปี มันก็จะเริ่มรู้สึกเปลือง รู้สึกว่าเอ๊ะ! ทำไปทำไม ก็รักอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้มันคือ ความแตกต่างกันระหว่างเรื่องเพศด้วยเหมือนกัน”
กฎเหล็ก5 : เรียนรู้ “ภาษารัก”
คุณหมอหน้าสวยเล่าต่อ ถึงความต่างระหว่างชายและหญิง ว่าผู้ชายหลายคนมักเป็นพวกพูดไม่ค่อยเก่ง ยิ่งอยู่กันนานไป กว่าคำว่ารักจะหลุดออกมาจากปาก มันแสนยากเย็น เล่นเอาคุณภรรยาน้อยใจอยู่บ่อยๆ ซึ่งงานนี้คุณหมอแนะว่า อย่ามัวเฝ้ารอฟังแต่คำว่ารักเลยค่ะ เพราะแท้จริงแล้ว ยังมีการกระทำอีกหลายอย่าง ที่ถือเป็นภาษาแทนคำ ‘รัก’ ที่เขาแสดงออกออกมา
“ผู้ชายจะไม่ค่อยพูดว่าผมรักคุณ คือ ไม่ค่อยแสดงเป็นคำพูด แต่ผู้หญิงจะอยากฟัง บางคนอยากฟังทุกวัน ต้องให้แฟนบอกรักทุกวัน พอแฟนทำไม่ได้ก็เกิดปัญหาอีก ตรงนี้ความจริงแล้ว มันมีเรื่องของภาษารักอื่นๆ ที่เขาแสดงออกมาด้วย ซึ่งเราจะต้องอ่านภาษารักให้เป็น แปลให้ออก ไม่ใช่คิดว่าจะได้รับความรักต่อเมื่อ แฟนบอกว่า ฉันรักคุณ ผมรักคุณ อย่างนี้มันไม่ใช่
ภาษารักมีตั้งหลายอย่าง ตั้งแต่ภาษาพูด พูดว่ารักนะ ชอบนะ ภาษากายคือ การแสดงออก การโอบกอด, สัมผัส, ลูบผม, จับผม, หวีผมให้, นวดให้ แม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นภาษารักอย่างหนึ่ง หรือจะให้เป็นสิ่งของ ให้ของขวัญ ให้แหวน บ้าน รถยนต์ แต่สิ่งของบางทีจะให้กันบ่อยๆ ก็ไม่ได้ ยิ่งอยู่กันนานให้บ่อยๆ ก็อาจสิ้นเปลือง ที่สำคัญคือ ให้บ่อยๆ ก็อาจจะรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า นานๆ ให้ทีจะดูมีค่ามากกว่า
บางทีไม่จำเป็นต้องให้ของก็ได้ อาจจะให้เป็นเวลา คือ มีเวลาที่จะใช้ร่วมกัน เวลาที่จะอยู่ด้วยกัน ดูหนัง ดูทีวีด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำกับข้าวกินด้วยกัน หรือว่าการบริการ การดูแล เช่น สามีล้างรถให้ เช็ค (check) รถให้ การห่วงใยดูแล หรือการที่ภรรยาเตรียมอาหารเช้าให้ ปอกผลไม้ให้ พวกนี้มันเป็นภาษารักของเราทั้งนั้นเลย บางทีคู่รักหรือสามีภรรยา จะมองข้ามเรื่องพวกนี้ไป รอแต่ว่าเมื่อไหร่เขาจะบอกรักเรา เมื่อไหร่เขาจะซื้อเพชรให้ ซื้อเสื้อผ้าให้ เมื่อไหร่จะพาไปซื้อของ แต่ดันมองข้ามสิ่งดีๆ ที่ทำให้กันในทุกวันไป”
กฎเหล็ก6 : ใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างมีคุณภาพ
อีกสิ่งที่คุณหมอเธอฝากมาคือ แนะให้คู่สามีภรรยา ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีคุณค่า เพื่อเติมเต็มความสุขและความเข้าใจให้มาก
“การใช้เวลาร่วมกัน หลายคนคิดว่า คือ การอยู่บ้านด้วยกันเฉยๆ ถ้าอยู่บ้านด้วยกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ คนละมุมของห้องมันก็ไม่มีประโยชน์ เท่ากับมีเวลาที่มีคุณภาพร่วมกัน เวลาที่มีคุณภาพคือ เวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เช่น กินข้าวด้วยกัน ดูทีวีด้วยกัน หัวเราะ พูดคุยด้วยกัน ซึ่งเวลาที่คุณมีปฏิสัมพันธ์กันแบบนั้น มันคือ เวลาที่มีคุณภาพ ถึงแม้จะไม่มากแต่อยู่ด้วยกันแล้ว มันมีความสุข”
กฎเหล็ก7 : สวีทหวาน 1 ปี ก่อนมีลูก
คุณหมอแนะนำให้คู่สมรสใช้ชีวิตแต่งงานแสนหวาน วนเวียนกันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สัก 1 ปีก่อนจะมีลูกน้อยมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ
“ถ้าให้หมอแนะนำคือ ควรจะแต่งงาน แล้วใช้ชีวิตคู่แบบสามีภรรยาอย่างน้อยสัก 1 ปี แล้วค่อยมีลูก เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตคู่แบบจริงๆ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สวีทกัน ไปเที่ยว ไปทำอะไรแบบสองคน เพราะพอมีลูกขึ้นมา ชีวิตคู่มันจะเปลี่ยนแล้ว มันจะไม่ได้มีแค่สองคน แต่จะมีลูกเข้ามาด้วย ทำให้คุณต้องเป็นทั้งสามีภรรยา และก็ต้องเป็นพ่อและแม่ด้วยในเวลาเดียวกัน
สำหรับส่วนนี้ คนที่ได้ใช้ชีวิตคู่กันมาสองคน สวีทกันมาพักหนึ่ง จนรู้สึกว่ามันเริ่มเติมเต็มแล้ว ลูกก็จะมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่หลายๆ คนพอแต่งปั๊บ มีลูกปุ๊บ เขาอาจจะรู้สึกเหมือนตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานไม่มีความหวานเลย ไม่มีเวลาไปสวีทด้วยกันเลย
เพราะพอมีลูกก็ต้องช่วยกันเลี้ยงลูก ต้องคอยวุ่นวายกับลูก ฉะนั้นที่หมอจะเตือนก็คือ อย่ามีลูกตอนที่ยังไม่พร้อม ต้องพร้อมก่อนค่อยมี ถ้าให้ดีอาจจะคบกันอย่างน้อยสักหนึ่งปี แล้วหลังแต่งงานก็อยู่กันสักหนึ่งปี ช่วงนั้นก็คุมกำเนิดไปก่อน พอพร้อมแล้วค่อยปล่อยให้มีลูก”
กฎเหล็ก8 : เมื่อเกิดปัญหา หากจบไม่ได้ ให้เล็งหาจิตแพทย์เป็นตัวช่วย
“ถ้าเมื่อใดที่คุณคิดว่า พยายามแก้ปัญหา พยายามปรับด้วยกันแล้วมันไม่ได้ผล หรือรู้สึกว่ายังไม่มีความสุขในชีวิตคู่ ก็สามารถมาปรึกษาจิตแพทย์ได้ หลายคนคิดว่าคนมาพบจิตแพทย์ต้องเป็นคนบ้าเท่านั้น จริงๆ มันไม่ใช่ แค่คุณมีปัญหาไม่สบายใจ คุณก็สามารถมาหาจิตแพทย์ได้
ปัจจุบันมีคู่รักที่มีปัญหาแล้วมาพบหมอเยอะเหมือนกัน บางคู่อาจมาทั้งสามีภรรยา แต่บางทีสามีไม่ยอมมา เราก็สามารถทำผ่านคนๆ เดียวก็ได้ เพราะคนเราอยู่ด้วยกัน ถ้าคนหนึ่งเปลี่ยนอีกคนก็เปลี่ยนตาม อย่างที่หมอรักษาคนไข้มา บางคู่สามีไม่ยอมมา มาแต่ภรรยา หมอก็คุยกับภรรยาว่าควรปรับวิธีคิดวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไร พอภรรยาปรับนิสัยแล้วสามีก็ดีขึ้น ครอบครัวเขาก็มีความสุขขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาขี้บ่นจู้จี้ คาดหวังเยอะ แล้วก็คอยตามจิก สามีก็เกิดความอึดอัดรำคาญ จนเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน แล้วก็ยิ่งประชดประชันกัน แต่พอภรรยาเปลี่ยน รู้จักเอาใจมากขึ้น บ่นให้น้อยลง ไม่ระเบิดอารมณ์ใส่ ไม่ตามจิก คือ ทำให้บ้านมีความสุข สามีก็อยู่บ้านมากขึ้น ทุกอย่างก็ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้นที่แนะนำคือ ถ้ามีปัญหาอาจจะคุยกันก่อน แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็แนะให้มาหาคนกลาง ให้จิตแพทย์เป็นคนกลางก็ได้” จิตแพทย์อัญชุลีแนะนำ
*ข้อคิดส่งท้าย หมั่นเติมรักไม่ให้ขาด
ก่อนจากกัน หมอแอร์คนสวยไม่ลืมที่จะฝากคำแนะนำโดนๆ ที่นำไปใช้ได้จริงมาว่า
“การแต่งงานไม่ใช่จุดจบ มันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง ที่สำคัญ พอมีลูก ก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่อีก เริ่มต้นใหม่ไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ
สิ่งที่หมออยากแนะนำให้ทำก็คือ การหมั่นเติมความรักให้กันเสมอ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ก็คือ ให้คิดเหมือนกับตอนคบกันใหม่ๆ ตั้งแต่เป็นแฟนกัน มันเหมือนเราไปฝากเงินไว้ที่บัญชีธนาคาร เป็นบัญชีแห่งความรัก ที่ส่วนใหญ่ตอนจีบกันใหม่ๆ เราจะใส่เงินเข้าไปในบัญชีเยอะมากเลย ดอกกุหลาบเอย แหวนเพชรเอย คำรัก อัดภาษารักไปเต็มที่ มีเงินเยอะมากในแบงค์
แต่พอคบกันไปนานๆ หลังแต่งงาน ส่วนใหญ่จะเริ่มถอนออก ถอนออกด้วยการด่ากัน ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน กระแนะกระแหน ประชดประชัน ไม่พูดคุยกัน มึนตึง มันก็เหมือนการถอนเงินออก พอถอนออกไปเยอะๆ แล้วไม่ใส่กลับเข้าไป มันก็ติดลบ
เพราะฉะนั้นชีวิตการแต่งงานมันเหมือนการเพิ่งจะเริ่มต้นเอง ทั้งคู่ต้องหมั่นเติมความรักเสมอ เคยรักกันยังไง เข้าใจกันยังไง ก็ต้องรักกันต่อไป ไม่ใช่ว่า รักนะแต่ไม่แสดงออก มันต้องแสดงออกด้วย ต้องรู้จักใช้ภาษารักหลายๆ อย่าง แล้วก็ต้องอ่านภาษารักของอีกฝ่ายหนึ่งให้ออกด้วย เพื่อให้มีเงินในบัญชีสะสมไว้เยอะๆ และพอมีลูกขึ้นมา มันก็เหมือนเรามีบัญชีที่ 3 เพิ่มขึ้นมาเราก็ต้องใส่เงิน ใส่ความรักให้ทั่วถึงแต่ละบัญชี
หลายคนพอมีลูก เลิกใส่บัญชีให้ภรรยาเลย ใส่ให้แต่ลูก รักลูก ซื้อของก็ให้แต่ลูก ซื้ออาหารให้แต่ลูก ลืมให้ภรรยา ตัวอย่างเช่น สามีกลับมาถึงบ้าน ซื้อข้าวซื้อขนมมาให้ลูก แต่ไม่ได้ซื้อมาเผื่อภรรยา ภรรยาก็งอนน้อยใจแต่ไม่พูด ก็เป็นปัญหา ซึ่งจริงๆ แล้วเราพูดได้ อาจพูดว่า ‘แล้วของฉันล่ะ ลืมฉันแล้วเหรอ’ อาจจะงอนนิดหน่อยแต่พองาม แล้วก็บอกว่ารอบหน้าห้ามลืมอีกนะ แค่นี้ก็จบ สามีก็จะรู้ว่า อืม..เราลืมไปจริงๆ เดี๋ยวรอบหน้าค่อยซื้อมาให้ใหม่ นี่แหละคือ สิ่งที่ต้องพูด เพราะถ้าไม่พูด ไม่สื่อสาร ผู้ชายเขาอาจจะไม่รู้
ข้อสำคัญที่สุด ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน เพราะมันไม่มีใครถูกตลอดหรอก อยู่ด้วยกันบางทีมันก็มีกระทบกระทั่ง เหมือนลิ้นกับฟัน บางทีเขาไม่ได้มีเจตนาทำให้โกรธหรอก แต่มันเป็นความไม่เข้าใจกันมากกว่า ก็ต้องให้อภัยกัน เพราะถ้าให้อภัยกันไม่ได้ ก็อยู่กันไปแบบมีความสุขไม่ได้หรอก” หมอแอร์-อัญชุลีกล่าวทิ้งท้าย
คลิกอ่าน Bride To Be: เคล็ดลับจัดฮวงจุ้ยเรือนหอ เพื่อรักราบรื่น
Bride To Be: การ์ดแต่งงาน-ของชำร่วย ดีไซน์ใดตรึงใจแขกเหรื่อและรักของเรา
Bride To Be: เค้กแต่งงาน ทำไมต้องมี ทำไมต้องสูง ทำไมไม่อร่อย?!?
Bride To Be: ดอกไม้พันธุ์ไหน กลีบใดชูช่อเหมาะสำหรับงานแต่ง
Bride To Be: เคาะกึ๋น Wedding Planner ตัวช่วยคู่บ่าวสาวในวันแต่ง
Bride To Be: 6 ข้อต้องคำนึงก่อนตัดเช่าชุดเจ้าสาว
Bride To Be: แต่งหน้าเจ้าสาวสไตล์ใสๆ ไม่โบ๊ะไม่วอกเกินจริง
Bride To Be: ยังไงก็ยังตีโป่งเกล้าผม แต่เทคนิคไหนไม่เชยไม่แก่ พร้อมเกร็ดฯที่เจ้าสาวต้องรู้
Bride To Be: เข้าคอร์สสปาเจ้าสาว เตรียมผิวใสปิ๊งเด่นเด้งในวันวิวาห์
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
เพราะการแต่งงานมิใช่จุดจบ… หากแต่คือ การเริ่มต้นที่ ‘คนสองคน’ ต้องปรับเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่
Bride To Be ขอส่งท้ายโปรเจกต์ด้วยคำแนะนำดีๆ จาก หมอแอร์-พ.ต.ต.หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์คนสวย โรงพยาบาลตำรวจ มาให้บรรดาคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ได้นำไปปรับใช้กันค่ะ
“เรื่องการใช้ชีวิตแต่งงาน ถามว่าง่ายมั้ย ก็ไม่ง่ายนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เหมือนเพลงที่บอกว่า รักไม่ช่วยอะไร มันจริงนะ รักอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีทั้งรัก ทั้งความเข้าใจ ทั้งการให้อภัยซึ่งกันและกัน ต้องรู้จักสื่อสาร รู้จักพูดคุยกัน” คุณหมอคนสวยเกริ่นนำ พร้อมเริ่มอธิบายถึงกฎเหล็ก 8 ข้อ ที่คู่สามีภรรยาควรปฏิบัติ เพื่อชีวิตหลังแต่งงานที่ราบรื่น สวีทหวานไม่มีเปลี่ยน...
กฎเหล็ก1 : ทำใจยอมรับ ในความแตกต่าง
แพทย์สาวจากโรงพยาบาลตำรวจบอกว่า สิ่งสำคัญลำดับแรกที่คู่สามีภรรยาจำเป็นต้องทำคือ การยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน และนั่นคือ ปราการด่านแรก ที่บอกได้ว่าคุณทั้งสองจะอยู่ร่วมกันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
“การแต่งงานคือ เรื่องที่คนสองคน ซึ่งมีความแตกต่างกัน แล้วต้องมาอยู่ด้วยกัน คนเราเมื่อคบกันใหม่ๆ จะคบกันที่ความเหมือน ประมาณว่าเราชอบอะไรๆ เหมือนกันเลย ดูหนังเกาหลีเหมือนกัน ชอบดารา ชอบเพลงแนวนี้เหมือนกัน คนสองคนก็จะชอบกัน แต่พออยู่กันไปจริงๆ คบกันไปลึกๆ มันไม่มีใครหรอกที่จะเหมือนเรา 100% ขนาดพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ยังนิสัยต่างกันเลย แล้วยิ่งมาจากคนละพ่อ คนละแม่ เลี้ยงดูมาต่างกัน มันก็ต้องมีความแตกต่างอยู่แล้ว ซึ่งหากคู่ไหนยอมรับความต่างเหล่านี้ไม่ได้ ก็จะเริ่มมีปัญหา เพราะคนเราพอแต่งงานกัน มันต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน ยิ่งอยู่ด้วยกันมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างของอีกฝ่ายมากเท่านั้น”
กฎเหล็ก2 : เลิกคาดหวังให้คู่รัก เป็นได้อย่างใจคุณ
คุณหมอแอร์เล่าว่า มีหลายคู่เชียวค่ะที่หลังแต่งงาน มักคาดหวังให้คู่ของตนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นดั่งใจที่ตัวเองต้องการ ซึ่งท้ายที่สุดก็นำมาซึ่งปัญหาความไม่เข้าใจกัน
“หลายคนอยากให้แฟนเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ พูดง่ายๆ คือ อยากให้แฟนเหมือนตัวเอง หรือเป็นให้ได้อย่างใจที่ตัวเองต้องการ เมื่ออยู่กันไป เราก็จะเต็มไปด้วยความคาดหวัง ยิ่งเราคาดหวังมากเท่าไหร่ แล้วเขาไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง เราก็จะยิ่งเป็นทุกข์ แล้วพอผิดหวังซ้ำๆ บ่อยๆ เราก็จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว แล้วจะเริ่มไม่เหมือนเดิม จากเมื่อก่อนจะให้ทำอะไรก็ได้ แต่พออยู่ๆ กันไป จะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มไม่ยอมทำตามใจอีกฝ่ายมากขึ้น มันจึงเกิดปัญหา
ยกตัวอย่างเช่น ตัวภรรยาเวลาจะไปสังสรรค์กับเพื่อน มักจะชวนแฟนไปด้วย อยากให้สามีไปด้วย แต่พอถึงคราวสามีอยากไปกินเหล้ากับเพื่อน ดันไม่อยากเอาภรรยาไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้หลายคนมาปรึกษาหมอบ่อยๆ มาน้อยใจบ่นว่า ‘ดูสิทีเรายังพาไปด้วยเลย ทีเขา ทำไมไม่ชวนเราไป ไม่อยากให้เราไป’ ซึ่งตรงนี้ถ้ามาถามหมอ หมอก็บอกเลยว่า เขาไม่ใช่คุณ เขาก็มีความชอบของเขาที่ไม่เหมือนกับเรา นี่แหละคือ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความแตกต่างของกันและกัน ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นให้ได้ แล้วก็อย่าไปคาดหวังในตัวเขามากเกินไป”
กฎเหล็ก3 : คบน้อย-คบนาน ต่างต้องปรับตัว
จิตแพทย์คนสวย ผู้มีประสบการณ์ตรงแต่งงานมาได้ 3 ปีเศษ อธิบายต่อเรื่องของการปรับตัวว่า ไม่ว่าจะคบกันมานานแค่ไหน เมื่อแต่งงานแล้วก็ล้วนแต่ต้องปรับตัวเข้าหากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ที่คบกันได้ไม่นานแล้วแต่ง ยิ่งต้องเตรียมรับศึกหนัก
“แต่ละคู่ ไม่ว่าคบกันก่อนแต่งงานมานานแค่ไหน ก็ต้องปรับตัวทั้งนั้น เพราะอย่างที่บอก..คนสองคนไม่มีทางที่จะเหมือนกัน 100% แต่คู่ที่คบกันมานานแล้วค่อยแต่ง จะได้เปรียบ เพราะเขาเรียนรู้กันมาเยอะ เคยผ่านประสบการณ์ทะเลาะกัน ดีกัน แล้วกลับมาคืนดีกัน เหมือนมีชั่วโมงบินสูงกว่า ความผูกพันมากกว่า แต่อย่างกรณีคู่ที่เพิ่งคบกัน ปุ๊บปั๊บยังไม่ถึงปีแต่งงานเลย อันนั้นอาจจะยังไม่ทันรู้จักกันดี แบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาสูง”
อะฮ้า...เมื่อฟังประโยคข้างต้นแล้ว อย่าเพิ่งตกอก ตกใจไปใหญ่ค่ะ สำหรับคู่รักที่อาจจะคบกันมาไม่นานนัก ทว่าเมื่อคุณทั้งสองมั่นใจ แต่งงานกันแล้ว คุณหมอก็มีคำแนะนำมาให้ด้วย
“สำหรับคู่ที่คบกันมาไม่นาน อาจจะต้องปรับเยอะสักหน่อย เรื่องแรกคือ ต้องทำความเข้าใจกันให้มาก ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วพูดคุยกัน อะไรที่เราไม่ชอบ อะไรที่เรารับไม่ได้ก็ต้องบอกกัน แต่ก็ต้องบอกกันแบบนิ่มนวล
บางทีมันเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจกัน ซึ่งบางคนชอบคิดว่าเขาน่าจะรู้นะ ว่าเวลาฉันทำหน้าเป็นตูดหมึกอย่างนี้ เขาน่าจะเดาได้แล้วว่าฉันงอน ควรจะมาง้อ แต่ในความเป็นจริงหมอจะบอกว่า บางเรื่องเขาไม่รู้หรอก มันต้องคุยกัน และคุยกันดีๆ ไม่ใช่มาด่ากัน ตำหนิกัน เช่นขึ้นเสียงว่า ‘ทำไมทำอย่างนี้ฉันรับคุณไม่ได้’ แทนที่จะบอกว่า เรารู้สึกไม่สบายใจเลยที่เห็นเธอกลับบ้านดึก ปรับได้หรือเปล่า
แต่อย่างไรเสีย คนที่คบกันมาน้อย แล้วแต่งงานก็มีข้อได้เปรียบอยู่เหมือนกัน ในเรื่องของความสด ความสวีทหวาน เพราะเพิ่งรักกันใหม่ๆ ความหวือหวาก็จะมีอยู่ ซึ่งทางที่ดีเราควรใช้ความหวือหวานี้ให้เป็นประโยชน์ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ ปรับความเข้าใจกันไป”
กฎเหล็ก4 : เลิกเสพติด ความหวือหวา
แพทย์สาวผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแนะให้รู้จักกับอีกปัญหา ที่คู่แต่งงานมือใหม่มักพบเจอ นั่นคือการ ‘เสพติดความหวือหวา’ ที่พบบ่อยก็คือ การที่คุณสาวๆ มักคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งพิเศษ ในโอกาสสำคัญเสมอ (เหมือนสมัยจีบกันใหม่ๆ) ทว่าอารมณ์คุณผู้ชายหลายคนเชียวค่ะ ที่แม้จะรักแสนรัก แต่ก็ทำสิ่งพิเศษต่างๆ ได้เฉพาะช่วงโปรโมชัน (promotion) รักกันแรกๆ เท่านั้น
“การที่คู่รักมีสิ่งดีๆ หรือสิ่งพิเศษให้กัน ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในบางครั้งหากเวลาเปลี่ยนไปแล้วปรับตัวไม่ได้ บางคู่ก็อาจเกิดปัญหา เรื่องการเสพติดความหวือหวา ติดว่าวันวาเลนไทน์ต้องมีช่อดอกไม้โตๆ แพงๆ ซึ่งหลายคนโดยเฉพาะกับผู้ชาย เขาจะไม่ชอบความหวือหวาแบบนั้นเท่าไหร่ ถามว่าทำไมแต่ก่อนทำได้ ต้องอธิบายว่าช่วงโปรโมชันเขาทำได้
มันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย ช่วงแรกจะจีบคนนี้ จะจีบให้ติดก็จะเป็นพ่อบุญทุ่ม ทำได้ทุกอย่าง แต่พอเป็นแฟนกันแล้ว ก็หมดโปรโมชัน แต่ถามว่ารักอยู่มั้ยก็ยังรักอยู่แหละ แต่บางทีคบกันมากๆ หลายปี มันก็จะเริ่มรู้สึกเปลือง รู้สึกว่าเอ๊ะ! ทำไปทำไม ก็รักอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้มันคือ ความแตกต่างกันระหว่างเรื่องเพศด้วยเหมือนกัน”
กฎเหล็ก5 : เรียนรู้ “ภาษารัก”
คุณหมอหน้าสวยเล่าต่อ ถึงความต่างระหว่างชายและหญิง ว่าผู้ชายหลายคนมักเป็นพวกพูดไม่ค่อยเก่ง ยิ่งอยู่กันนานไป กว่าคำว่ารักจะหลุดออกมาจากปาก มันแสนยากเย็น เล่นเอาคุณภรรยาน้อยใจอยู่บ่อยๆ ซึ่งงานนี้คุณหมอแนะว่า อย่ามัวเฝ้ารอฟังแต่คำว่ารักเลยค่ะ เพราะแท้จริงแล้ว ยังมีการกระทำอีกหลายอย่าง ที่ถือเป็นภาษาแทนคำ ‘รัก’ ที่เขาแสดงออกออกมา
“ผู้ชายจะไม่ค่อยพูดว่าผมรักคุณ คือ ไม่ค่อยแสดงเป็นคำพูด แต่ผู้หญิงจะอยากฟัง บางคนอยากฟังทุกวัน ต้องให้แฟนบอกรักทุกวัน พอแฟนทำไม่ได้ก็เกิดปัญหาอีก ตรงนี้ความจริงแล้ว มันมีเรื่องของภาษารักอื่นๆ ที่เขาแสดงออกมาด้วย ซึ่งเราจะต้องอ่านภาษารักให้เป็น แปลให้ออก ไม่ใช่คิดว่าจะได้รับความรักต่อเมื่อ แฟนบอกว่า ฉันรักคุณ ผมรักคุณ อย่างนี้มันไม่ใช่
ภาษารักมีตั้งหลายอย่าง ตั้งแต่ภาษาพูด พูดว่ารักนะ ชอบนะ ภาษากายคือ การแสดงออก การโอบกอด, สัมผัส, ลูบผม, จับผม, หวีผมให้, นวดให้ แม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นภาษารักอย่างหนึ่ง หรือจะให้เป็นสิ่งของ ให้ของขวัญ ให้แหวน บ้าน รถยนต์ แต่สิ่งของบางทีจะให้กันบ่อยๆ ก็ไม่ได้ ยิ่งอยู่กันนานให้บ่อยๆ ก็อาจสิ้นเปลือง ที่สำคัญคือ ให้บ่อยๆ ก็อาจจะรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า นานๆ ให้ทีจะดูมีค่ามากกว่า
บางทีไม่จำเป็นต้องให้ของก็ได้ อาจจะให้เป็นเวลา คือ มีเวลาที่จะใช้ร่วมกัน เวลาที่จะอยู่ด้วยกัน ดูหนัง ดูทีวีด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำกับข้าวกินด้วยกัน หรือว่าการบริการ การดูแล เช่น สามีล้างรถให้ เช็ค (check) รถให้ การห่วงใยดูแล หรือการที่ภรรยาเตรียมอาหารเช้าให้ ปอกผลไม้ให้ พวกนี้มันเป็นภาษารักของเราทั้งนั้นเลย บางทีคู่รักหรือสามีภรรยา จะมองข้ามเรื่องพวกนี้ไป รอแต่ว่าเมื่อไหร่เขาจะบอกรักเรา เมื่อไหร่เขาจะซื้อเพชรให้ ซื้อเสื้อผ้าให้ เมื่อไหร่จะพาไปซื้อของ แต่ดันมองข้ามสิ่งดีๆ ที่ทำให้กันในทุกวันไป”
กฎเหล็ก6 : ใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างมีคุณภาพ
อีกสิ่งที่คุณหมอเธอฝากมาคือ แนะให้คู่สามีภรรยา ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีคุณค่า เพื่อเติมเต็มความสุขและความเข้าใจให้มาก
“การใช้เวลาร่วมกัน หลายคนคิดว่า คือ การอยู่บ้านด้วยกันเฉยๆ ถ้าอยู่บ้านด้วยกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ คนละมุมของห้องมันก็ไม่มีประโยชน์ เท่ากับมีเวลาที่มีคุณภาพร่วมกัน เวลาที่มีคุณภาพคือ เวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เช่น กินข้าวด้วยกัน ดูทีวีด้วยกัน หัวเราะ พูดคุยด้วยกัน ซึ่งเวลาที่คุณมีปฏิสัมพันธ์กันแบบนั้น มันคือ เวลาที่มีคุณภาพ ถึงแม้จะไม่มากแต่อยู่ด้วยกันแล้ว มันมีความสุข”
กฎเหล็ก7 : สวีทหวาน 1 ปี ก่อนมีลูก
คุณหมอแนะนำให้คู่สมรสใช้ชีวิตแต่งงานแสนหวาน วนเวียนกันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สัก 1 ปีก่อนจะมีลูกน้อยมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ
“ถ้าให้หมอแนะนำคือ ควรจะแต่งงาน แล้วใช้ชีวิตคู่แบบสามีภรรยาอย่างน้อยสัก 1 ปี แล้วค่อยมีลูก เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตคู่แบบจริงๆ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สวีทกัน ไปเที่ยว ไปทำอะไรแบบสองคน เพราะพอมีลูกขึ้นมา ชีวิตคู่มันจะเปลี่ยนแล้ว มันจะไม่ได้มีแค่สองคน แต่จะมีลูกเข้ามาด้วย ทำให้คุณต้องเป็นทั้งสามีภรรยา และก็ต้องเป็นพ่อและแม่ด้วยในเวลาเดียวกัน
สำหรับส่วนนี้ คนที่ได้ใช้ชีวิตคู่กันมาสองคน สวีทกันมาพักหนึ่ง จนรู้สึกว่ามันเริ่มเติมเต็มแล้ว ลูกก็จะมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่หลายๆ คนพอแต่งปั๊บ มีลูกปุ๊บ เขาอาจจะรู้สึกเหมือนตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานไม่มีความหวานเลย ไม่มีเวลาไปสวีทด้วยกันเลย
เพราะพอมีลูกก็ต้องช่วยกันเลี้ยงลูก ต้องคอยวุ่นวายกับลูก ฉะนั้นที่หมอจะเตือนก็คือ อย่ามีลูกตอนที่ยังไม่พร้อม ต้องพร้อมก่อนค่อยมี ถ้าให้ดีอาจจะคบกันอย่างน้อยสักหนึ่งปี แล้วหลังแต่งงานก็อยู่กันสักหนึ่งปี ช่วงนั้นก็คุมกำเนิดไปก่อน พอพร้อมแล้วค่อยปล่อยให้มีลูก”
กฎเหล็ก8 : เมื่อเกิดปัญหา หากจบไม่ได้ ให้เล็งหาจิตแพทย์เป็นตัวช่วย
“ถ้าเมื่อใดที่คุณคิดว่า พยายามแก้ปัญหา พยายามปรับด้วยกันแล้วมันไม่ได้ผล หรือรู้สึกว่ายังไม่มีความสุขในชีวิตคู่ ก็สามารถมาปรึกษาจิตแพทย์ได้ หลายคนคิดว่าคนมาพบจิตแพทย์ต้องเป็นคนบ้าเท่านั้น จริงๆ มันไม่ใช่ แค่คุณมีปัญหาไม่สบายใจ คุณก็สามารถมาหาจิตแพทย์ได้
ปัจจุบันมีคู่รักที่มีปัญหาแล้วมาพบหมอเยอะเหมือนกัน บางคู่อาจมาทั้งสามีภรรยา แต่บางทีสามีไม่ยอมมา เราก็สามารถทำผ่านคนๆ เดียวก็ได้ เพราะคนเราอยู่ด้วยกัน ถ้าคนหนึ่งเปลี่ยนอีกคนก็เปลี่ยนตาม อย่างที่หมอรักษาคนไข้มา บางคู่สามีไม่ยอมมา มาแต่ภรรยา หมอก็คุยกับภรรยาว่าควรปรับวิธีคิดวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไร พอภรรยาปรับนิสัยแล้วสามีก็ดีขึ้น ครอบครัวเขาก็มีความสุขขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาขี้บ่นจู้จี้ คาดหวังเยอะ แล้วก็คอยตามจิก สามีก็เกิดความอึดอัดรำคาญ จนเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน แล้วก็ยิ่งประชดประชันกัน แต่พอภรรยาเปลี่ยน รู้จักเอาใจมากขึ้น บ่นให้น้อยลง ไม่ระเบิดอารมณ์ใส่ ไม่ตามจิก คือ ทำให้บ้านมีความสุข สามีก็อยู่บ้านมากขึ้น ทุกอย่างก็ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้นที่แนะนำคือ ถ้ามีปัญหาอาจจะคุยกันก่อน แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็แนะให้มาหาคนกลาง ให้จิตแพทย์เป็นคนกลางก็ได้” จิตแพทย์อัญชุลีแนะนำ
*ข้อคิดส่งท้าย หมั่นเติมรักไม่ให้ขาด
ก่อนจากกัน หมอแอร์คนสวยไม่ลืมที่จะฝากคำแนะนำโดนๆ ที่นำไปใช้ได้จริงมาว่า
“การแต่งงานไม่ใช่จุดจบ มันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง ที่สำคัญ พอมีลูก ก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่อีก เริ่มต้นใหม่ไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ
สิ่งที่หมออยากแนะนำให้ทำก็คือ การหมั่นเติมความรักให้กันเสมอ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ก็คือ ให้คิดเหมือนกับตอนคบกันใหม่ๆ ตั้งแต่เป็นแฟนกัน มันเหมือนเราไปฝากเงินไว้ที่บัญชีธนาคาร เป็นบัญชีแห่งความรัก ที่ส่วนใหญ่ตอนจีบกันใหม่ๆ เราจะใส่เงินเข้าไปในบัญชีเยอะมากเลย ดอกกุหลาบเอย แหวนเพชรเอย คำรัก อัดภาษารักไปเต็มที่ มีเงินเยอะมากในแบงค์
แต่พอคบกันไปนานๆ หลังแต่งงาน ส่วนใหญ่จะเริ่มถอนออก ถอนออกด้วยการด่ากัน ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน กระแนะกระแหน ประชดประชัน ไม่พูดคุยกัน มึนตึง มันก็เหมือนการถอนเงินออก พอถอนออกไปเยอะๆ แล้วไม่ใส่กลับเข้าไป มันก็ติดลบ
เพราะฉะนั้นชีวิตการแต่งงานมันเหมือนการเพิ่งจะเริ่มต้นเอง ทั้งคู่ต้องหมั่นเติมความรักเสมอ เคยรักกันยังไง เข้าใจกันยังไง ก็ต้องรักกันต่อไป ไม่ใช่ว่า รักนะแต่ไม่แสดงออก มันต้องแสดงออกด้วย ต้องรู้จักใช้ภาษารักหลายๆ อย่าง แล้วก็ต้องอ่านภาษารักของอีกฝ่ายหนึ่งให้ออกด้วย เพื่อให้มีเงินในบัญชีสะสมไว้เยอะๆ และพอมีลูกขึ้นมา มันก็เหมือนเรามีบัญชีที่ 3 เพิ่มขึ้นมาเราก็ต้องใส่เงิน ใส่ความรักให้ทั่วถึงแต่ละบัญชี
หลายคนพอมีลูก เลิกใส่บัญชีให้ภรรยาเลย ใส่ให้แต่ลูก รักลูก ซื้อของก็ให้แต่ลูก ซื้ออาหารให้แต่ลูก ลืมให้ภรรยา ตัวอย่างเช่น สามีกลับมาถึงบ้าน ซื้อข้าวซื้อขนมมาให้ลูก แต่ไม่ได้ซื้อมาเผื่อภรรยา ภรรยาก็งอนน้อยใจแต่ไม่พูด ก็เป็นปัญหา ซึ่งจริงๆ แล้วเราพูดได้ อาจพูดว่า ‘แล้วของฉันล่ะ ลืมฉันแล้วเหรอ’ อาจจะงอนนิดหน่อยแต่พองาม แล้วก็บอกว่ารอบหน้าห้ามลืมอีกนะ แค่นี้ก็จบ สามีก็จะรู้ว่า อืม..เราลืมไปจริงๆ เดี๋ยวรอบหน้าค่อยซื้อมาให้ใหม่ นี่แหละคือ สิ่งที่ต้องพูด เพราะถ้าไม่พูด ไม่สื่อสาร ผู้ชายเขาอาจจะไม่รู้
ข้อสำคัญที่สุด ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน เพราะมันไม่มีใครถูกตลอดหรอก อยู่ด้วยกันบางทีมันก็มีกระทบกระทั่ง เหมือนลิ้นกับฟัน บางทีเขาไม่ได้มีเจตนาทำให้โกรธหรอก แต่มันเป็นความไม่เข้าใจกันมากกว่า ก็ต้องให้อภัยกัน เพราะถ้าให้อภัยกันไม่ได้ ก็อยู่กันไปแบบมีความสุขไม่ได้หรอก” หมอแอร์-อัญชุลีกล่าวทิ้งท้าย
คลิกอ่าน Bride To Be: เคล็ดลับจัดฮวงจุ้ยเรือนหอ เพื่อรักราบรื่น
Bride To Be: การ์ดแต่งงาน-ของชำร่วย ดีไซน์ใดตรึงใจแขกเหรื่อและรักของเรา
Bride To Be: เค้กแต่งงาน ทำไมต้องมี ทำไมต้องสูง ทำไมไม่อร่อย?!?
Bride To Be: ดอกไม้พันธุ์ไหน กลีบใดชูช่อเหมาะสำหรับงานแต่ง
Bride To Be: เคาะกึ๋น Wedding Planner ตัวช่วยคู่บ่าวสาวในวันแต่ง
Bride To Be: 6 ข้อต้องคำนึงก่อนตัดเช่าชุดเจ้าสาว
Bride To Be: แต่งหน้าเจ้าสาวสไตล์ใสๆ ไม่โบ๊ะไม่วอกเกินจริง
Bride To Be: ยังไงก็ยังตีโป่งเกล้าผม แต่เทคนิคไหนไม่เชยไม่แก่ พร้อมเกร็ดฯที่เจ้าสาวต้องรู้
Bride To Be: เข้าคอร์สสปาเจ้าสาว เตรียมผิวใสปิ๊งเด่นเด้งในวันวิวาห์
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net