ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้วกล้องถ่ายภาพดิจิตอลตระกูล Nikon 1 (นิคอน วัน) ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นในยุคที่ตลาดกล้องไร้กระจกสะท้อนภาพที่นิคอนตั้งชื่อเรียกเฉพาะว่า ACIL (Advanced Camera with Interchangeable Lens) Market อยู่ในช่วงเติบโตและได้รับความสนใจมากในช่วงเวลาหนึ่งเพราะเป็นกล้องที่มีขนาดเล็กและสามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้แบบเดียวกับ DSLR
ถึงแม้ในปัจจุบันกล้องประเภทนี้จะไม่ได้รับความนิยมสูงเหมือนช่วงเข้าทำตลาดใหม่ๆ เพราะเทรนด์การถ่ายภาพที่เปลี่ยนไป กลุ่มผู้ถ่ายภาพส่วนใหญ่หันไปเน้นถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนที่ใช้งานง่ายกว่าหรือไม่ก็หันไปใช้กล้องดิจิตอลคอมแพกต์ที่รองรับการใช้งานที่หลากหลายมากกว่ากล้องประเภทไร้กระจกสะท้อนภาพที่มักให้เลนส์ไม่ครอบคลุมทุกการใช้งาน จะถ่ายภาพแต่ละครั้งบางทีก็ต้องเปลี่ยนเลนส์ใหม่เหมือนกล้อง DSLR ซึ่งไม่คล่องตัว แต่หลายผู้ผลิตก็ยังไม่ทิ้งตลาดนี้ให้ล้มหายตายจากไป
Nikon 1 เองก็ถือเป็นกล้องไร้กระจกสะท้อนภาพที่ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดและกลายเป็นกลุ่มกล้องของนิคอนที่พยายามสร้างความแปลกใหม่ด้วยฟีเจอร์เด่นที่มักถูกเลือกใช้งานในตระกูลวันก่อนตระกูลอื่นเพื่อให้ตลาด ACIL ของตนไม่เงียบเหงา
เริ่มจาก Nikon 1 AW1 กับการเป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ที่สามารถกันน้ำ กันกระแทก และสามารถดำน้ำได้ตัวแรกแถมนิคอนยังทดลองตัด Low-pass filter ออกเพื่อภาพที่ึคมชัดขึ้น ไปถึงวัน V3 ที่กลายเป็นกล้องจับภาพแอ็คชั่นเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 60 ภาพต่อวินาทีเมื่อล็อคโฟกัส (ออโต้โฟกัสอยู่ที่ 20 ภาพต่อวินาที)
มาถึง Nikon 1 รุ่นใหม่ในปี 2014 กับ J4 ที่นิคอนปรับแนวคิดพัฒนาใหม่โดยจะเน้นให้ Nikon 1 J4 เป็นกล้องเน้นงานเก็บภาพแอ็คชั่นที่ทำงานรวดเร็วและน้ำหนักเบา ขนาดเล็กกว่าเดิมแถมพกพาไปไหนมาได้ได้สะดวกมากขึ้น
การออกแบบและสเปก
Nikon 1 J4 ยังคงเป็นกล้องไร้กระจกสะท้อนภาพที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ตามต้องการ โดยเมาท์เลนส์ที่รองรับยังคงเป็น Nikon 1 เมาท์เดิมและสามารถหาตัวแปลงเลนส์นิคอน DSLR มาใช้งานร่วมกันได้ โดยขนาดลำตัวกล้องอยู่ที่ 99.5 x 60 x 28.5 มิลลิเมตร (ประมาณฝ่ามือ) น้ำหนักอยู่ที่ 232 กรัม
ด้านเซ็นเซอร์รับภาพเป็น CMOS CX-format แบบตัด Low-pass filter ออกขนาด 13.2 x 8.8 มิลลิเมตร (ทางยาวโฟกัสของเลนส์ประมาณ 2.7 เท่าเมื่อเทียบกับฟูลเฟรม 35 มิลลิเมตร) ประกบหน่วยประมวลผลภาพ EXPEED 4A รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 18.4 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึก RAW 12 บิต (1 ไฟล์ RAW ใช้พื้นที่ประมาณ 20MB ส่วน JPEG Fine ใช้พื้นที่ประมาณ 10MB) และ RAW+JPEG ค่าความไวแสงสามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่ ISO 160-12,800 ความเร็วชัตเตอร์สามารถเลือกใช้งานได้ตั้งแต่ 30 วินาที - 1/16,000 วินาที สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงมีให้เลือก 5, 10, 20, 30 และ 60 ภาพต่อวินาที
ในส่วนระบบออโต้โฟกัสเป็นแบบไฮบริด (Phase และ Contrast) พร้อมไฟช่วยหาโฟกัสในที่แสงน้อย พื้นที่โฟกัสจุดเดียวมีให้ใช้งาน 171 จุด พื้นที่โฟกัสกลางภาพ 105 จุด ส่วนการโฟกัสภาพแบบเลือกพื้นที่โฟกัสอัตโนมัติจะมีพื้นที่โฟกัสให้เลือกใช้งานได้พร้อมกัน 41 จุด
และด้วยพลังของชิปประมวลผลภาพใหม่ EXPEED 4A ทำให้การถ่ายภาพวิดีโอจะได้รับการปรับปรุงไปด้วย โดยที่ความละเอียด 1080p จะสามารถบันทึกวิดีโอที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีได้แล้ว ในขณะที่การบันทึกวิดีโอสโลโมชั่น 120 เฟรมต่อวินาทีจะถูกปรับปรุงให้สามารถบันทึกภาพได้ที่ความละเอียด 720p ส่วนที่ความเร็ว 400 และ 1,200 เฟรมต่อวินาทียังคงมีให้เลือกเล่นได้สนุกๆ ที่ความละเอียด 768 x 288 พิกเซลและ 416x144 พิกเซล
มาถึงเรื่องเลนส์คิทที่แถมมากับชุด J4 ในรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะเป็น Double Zoom Kit ประกอบด้วยเลนส์นิคอน 1Nikkor 30(81)-110(297)mm ที่ค่า f-stop 3.8-5.6 ตัวเก่าและเลนส์ใหม่ที่เปิดตัวมาพร้อมกับรุ่นพี่ใหญ่ V3 ก่อนหน้ากับ 1Nikkor 10(27)-30(81)mm PD-ZOOM ที่ค่า f-stop 3.5-5.6 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว VR (Vibration-Reduction) ด้วยเทคนิค Lens-shift
โดยเลนส์รุ่นใหม่ถือเป็นไม้ตายเด่นที่ทำให้ Nikon 1 J4 มีขนาดเล็กลงจนสามารถใส่ในกระเป๋าเสื้อได้ ด้วยการออกแบบให้หน้าเลนส์สามารถยืดหดได้แบบเดียวกับเลนส์กล้องดิจิตอลคอมแพกต์แถมไม่ต้องมีฝาปิดหน้าเลนส์เพราะมีม่านกลไกลเปิดหน้าเลนส์ทำให้ตัวเลนส์มีความยาวน้อยลงจากเดิม 42 มิลลิเมตรลดเหลือเพียง 28 มิลลิเมตร น้ำหนักเบาลงกว่าเดิมจาก 115 กรัมลดเหลือ 85 กรัม แถมการใช้งานก็ทำได้คล่องตัวขึ้นโดยเฉพาะการซูมภาพเมื่อระหว่างถ่ายวิดีโอ เนื่องจากตัวเลนส์มีการเลือกใช้ระบบไฟฟ้าในการขยับเลนส์เข้าออก ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กับระบบภายในของ J4
ด้านปุ่มคำสั่งรอบตัวเครื่อง นิคอนต้องการให้ Nikon 1 ใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อนจึงได้ออกแบบให้ปุ่มปรับคั้งค่ากล้องมีเฉพาะปุ่มที่จำเป็นต้องใช้ เช่น วงล้อปรับโหมดถ่ายภาพด้านบนที่มีให้เลือกเหลือเพียง 5 โหมดหลักเท่านั้น โดยโหมด A(ปรับรูรับแสง), S(ปรับความเร็วชัตเตอร์), P(โปรแกรม) และแมนวลถูกย้ายไปรวมกับโหมด Creative (ไอคอนที่มีตัวอักษร C อยู่ข้างรูปกล้อง) ในขณะที่โหมดถ่ายภาพอัตโนมัติจะเลือกใช้งานได้ง่ายและฉลาดขึ้นรวมถึงโหมด Best Moment (ไอคอนตำแหน่งท้ายสุด) ก็ถูกชูเป็นจุดขายให้เลือกใช้งานได้ง่าย โดยกล้องจะจับแอ็คชั่นประมาณ 20 ภาพต่อวินาทีแล้วระบบจะทำการเลือกภาพที่เหมาะสมให้อัตโนมัติหรือผู้ใช้สามารถเลือกเองก็ได้
นอกจากนั้นนิคอนยังแยกปุ่มบันทึกวิดีโอให้มองเห็นชัดเจนและสามารถกดถ่ายวิดีโอได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพก่อน
ดูที่ด้านหลังตัวกล้อง นิคอนปรับจอแสดงผลขนาด 3 นิ้วความละเอียดหน้าจอ 1,037,000 จุดให้เป็นระบบสัมผัส รองรับการถ่ายภาพแบบ Touch Shutter/Focus เหมือนในสมาร์ทโฟน รวมถึงการปรับแต่งค่าปรับเปลี่ยนโหมด พรีวิวซูมภาพสามารถใช้นิ้วจิ้มที่หน้าจอได้ทั้งหมด ส่วนวงล้อข้างหน้าจอภาพจะใช้ในการเลื่อนเพื่อเลือกคำสั่งและกดระหว่างถ่ายภาพเพื่อใช้งานคำสั่งปรับแต่งกล้องพิเศษต่างๆ ได้รวดเร็วตั้งแต่ เปิด-ปิดไฟแฟลช ชดเชยแสง ตั้งเวลาไปถึงปุ่มฟังก์ชัน (กดขึ้น) ได้
มาที่ด้านข้างของตัวกล้องจะเป็นพอร์ต HDMI และ MicroUSB พร้อมสัญลักษณ์ WiFi เนื่องจากตัวกล้องมีวงจร Wireless LAN b/g อยู่ภายในเพื่อใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ส่วนด้านบนสุดจะเป็นปุ่มเปิดไฟแฟลช
ส่วนแบตเตอรี Nikon 1 J4 เลือกใช้แบตเตอรีรหัส EN-EL22 ขนาด 1,010mAh การ์ดความจำถูกเปลี่ยนให้รองรับเฉพาะ MicroSD Card (ทั้ง HC และ XC) แทนเพื่อให้เข้ากับตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กลง พร้อมช่องใส่ขาตั้งกล้อง 1/4 นิ้ว (ISO 1222)
ฟีเจอร์เด่น
ทำงานเร็วและฉลาดขึ้น เป็นประเด็นหลักในการพัฒนา Nikon 1 J4 โดยนิคอนพยายามใช้ระบบไฮบริดออโต้โฟกัสในการช่วยจับภาพแอ็คชั่นต่างๆ ได้มากถึง 20 ภาพต่อวินาทีเริ่มจากก่อนจนถึงลั่นชัตเตอร์ลงไปแล้วทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกภาพแอ็คชั่นที่ดีที่สุดได้ หรือแม้แต่โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะที่่กล้องจะจับภาพ 5 ภาพอัตโนมัติแล้วทำการวิเคราะห์ภาพเหล่านั้นด้วยเทคนิคตรวจสอบใบหน้าว่าทั้ง 5 ภาพภาพใดจะมีแอ็คชั่นดีสุด ด้วยหลักการคือ แบบในภาพไม่หลับตา องค์ประกอบภาพสมบูรณ์สุดและเรื่องความพร่ามัวจากมือสั่น เมื่อตัวกล้องวิเคราะห์ภาพเหล่านั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภาพที่ดีที่สุดจะถูกแสดงผลส่วนภาพที่เสียกล้องจะลบออกจากการ์ดความจำอัตโนมัติ
นอกจากนั้นทางนิคอนยังพยายามลด Shutter lag ให้ต่ำลงจากรุ่น J3 และเลนส์ PD-ZOOM ตัวใหม่จะรองรับกับโหมดถ่ายภาพความเร็วสูงได้ดียิ่งขึ้น
Creative Palette เป็นโหมดใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อหน้าจอสัมผัสของ Nikon 1 โดยวงแหวน Creative Palette จะเป็นเหมือนเอ็ฟเฟ็กต์ตกแต่งภาพถ่ายโดยใช้หลักการหมุนวนเพื่อเลือกการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี White Balance ความสว่างเพื่อสร้างสรรค์ภาพถ่ายแนวใหม่ๆ โดยก่อนการปรับแต่งระบบจะเรียนรู้ได้เองว่าภาพที่กำลังจะปรับแต่งเป็นภาพประเภทใด
และนอกจากนั้นยังมาพร้อมระบบถ่ายภาพ HDR และพาโนรามาที่รองรับความละเอียดภาพสูง 9,600x920 พิกเซล รวมถึงมี Picture Control ให้เลือกปรับแต่งได้ตามความต้องการด้วย
WiFi ด้วยการที่ตัวกล้องมี WiFi ติดตั้งมาให้ภายในทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกล้องร่วมกับแอปฯ WirelessMobileUtility บนสมาร์ทโฟนพร้อมความสามารถที่ใช้ได้คือ
1. สามารถคัดลอกรูปภาพจากการ์ดความจำในกล้องสู่สมาร์ทโฟนได้
2. ใช้สมาร์ทโฟนแทน Live View และรีโมทชัตเตอร์กดถ่ายภาพได้
ทดสอบประสิทธิภาพ
กดที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดใหญ่
เริ่มทดสอบจากสัญญาณรบกวนจากการตั้งค่าความไวแสงในแต่ละช่วงเริ่มจาก ISO 100-12,800 โดยถ่ายแบบ JPEG ให้หน่วยประมวลผล EXPEED 4A ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ผลลัพท์ที่ได้ถือว่าน่าพอใจตั้ง ISO 100-3,200 แต่ไม่หวือหวาและโดดเด่นนัก โดยเฉพาะค่าความไวแสง ISO 6,400 ที่ถูก EXPEED 4A ลบ Noise จนเนื้อไฟล์เสียความคมชัดพอสมควร ส่วน ISO 12,800 ถือว่ามีไว้ใช้เฉพาะฉุกเฉินจะดีที่สุด
ส่วนถ้าจะดูรายละเอียดแบบ RAW ดิบๆ ไม่ผ่านหน่วยประมวลผลภาพภายใน ต้องยอมรับว่าสัญญาณรบกวนมีมาให้เห็นตั้งแต่ ISO 100-12,800 จนแทบจะเรียกได้ว่า ตั้งแต่ Nikon 1 วางขายมา 3 ปี เซ็นเซอร์ CMOS CX-format ก็ให้คุณภาพไฟล์ดิบที่เหมือนเดิมมาตลอด 3 ปี ไม่เปลี่ยนแปลง
กดที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดใหญ่
หลังจากทดลองใช้งาน Nikon 1 J4 อยู่ร่วมสองอาทิตย์เต็มหลังจากเคยทดสอบทั้ง Nikon 1 J1 J3 และ AW1 มา เรื่องคุณภาพไฟล์ต้องเรียนตามตรงครับว่า ”เหมือนเดิม” ไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ไฟล์ดิบ (RAW) ทำงานด้วยยากมากเพราะมาทั้งสัญญาณรบกวนที่มีให้เห็นทุกช่วง ISO แต่ความอิ่มตัวของเม็ดสีและความกว้าง โทนสีปรับปรุงมาให้ดีขึ้นเล็กน้อย เซ็นเซอร์ CX Format ทำหน้าที่ได้ไม่ดี ยกเว้นเวลาต้องใช้ถ่ายระยะเทเล ตัวคูณ 2.7x มันช่วยให้ระยะซูมทำได้ใกล้ขึ้นจริงๆ
แต่ทางด้าน JPEG File กลับให้ผลลัพท์ต่างไปจากประสิทธิภาพของ EXPEED 4A ช่วยให้ผลลัพท์ภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้ามาก ทั้งความอิ่มตัวของเม็ดสีที่ธรรมชาติขึ้นและที่ขาดไม่ได้คือการประมวลผลภาพทำได้รวดเร็วขึ้น
ส่วนเรื่องจุดขายในเรื่องขนาดกล้องที่เล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวกพร้อมระบบออโต้โฟกัสที่นิคอนเหมือนลองของปรับให้ทำงานได้เร็วขึ้นมาก โดยผลลัพท์จากการทดสอบก็ถือว่าน่าพอใจและทำให้ Nikon 1 J4 น่าใช้มากขึ้น ยิ่งพวกที่ชอบใช้แอ็คชั่นแคมเก็บภาพนิ่งกีฬาผาดโผนต่างๆ J4 ตอบโจทย์ได้ดีเยี่ยม แม้ตัวเครื่องจะไม่กันกระแทกหรือกันน้ำเข้า แต่งานประกอบถือว่าทำได้ดีเพราะระหว่างทดสอบทีมงานก็แอบทำตกไปหลายครั้งแต่ก็ยังใช้งานได้ปกติ ยิ่งความสามารถในการใช้ WiFi เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนควบคุมกล้องระยะไกลได้แถมโหมดถ่ายวิดีโอสโลโมชั่น 120 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 720p ไปถึงขนาดตัวกล้องที่น้ำหนักเบาและที่สำคัญสามารถใช้อะแดปเตอร์แปลงเลนส์ Nikon DSLR ให้ใช้งานร่วมกับ Nikon 1 ได้แล้ว J4 ดูจะทำหน้าที่ตรงจุดนี้ได้ยอดเยี่ยมจนผู้ทดสอบเกิดความคิดว่า “ทำไมนิคอนไม่คิดนำ Nikon 1 มาทำแอ็คชั่นแคมเปลี่ยนเลนส์ได้ น้ำหนักเบาที่ใช้งานได้ทุกสภาพแสงทุกสภาพอากาศบ้างนะ” เพราะถึงแม้นิคอนจะมี AW1 อยู่แล้ว แต่กล้องรุ่นนั้นตัวใหญ่และน้ำหนักมากเกินไปจริงๆ
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป?
ข้อดี
- กล้องทำงานเร็ว
- ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา
- มี WiFi ติดตั้งมาภายในตัว เชื่อมต่อใช้งานง่ายมาก
- หน้าจอสัมผัส เลือกจุดโฟกัสโดยการสัมผัสหน้าจอได้
- เลือกใช้เลนส์ F-mount จาก Nikon DLSR ได้โดยผ่านอะแดปเตอร์แปลงเลนส์
- เลนส์ PD-ZOOM มีขนาดเล็กแต่ประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ข้อสังเกต
- คุณภาพไฟล์เหมือนเดิม สัญญาณรบกวนมาก
- จอปรับองศารับชมไม่ได้
- จอภาพไม่สามารถสู่แสงอาทิตย์ได้
สุดท้ายกับราคาในชุด Double Zoom Kit ทั้งชุดจะมีราคาอยู่ที่ 25,990 บาท ส่วนชุดขายรวมเลนส์ 10-30mm PD-ZOOM ตัวเดียวจะมีราคาอยู่ที่ 19,900 บาท ผู้อ่านท่านใดที่กำลังมองหากล้องดิจิตอลขนาดเล็ก น้ำหนักเบาที่มาพร้อมระบบออโต้โฟกัสทำงานได้รวดเร็ว ชื่นชอบการถ่ายภาพต่อเนื่อง และต้องการใช้ความสามารถของระยะคูณ 2.7 เพื่อถ่ายระยะเทเลโดยเฉพาะงานวิดีโอ Nikon 1 J4 ตอบโจทย์ได้ดี ส่วนผู้อ่านท่านใดที่ชื่นชอบการถ่ายภาพทั่วไป อยากได้กล้องใช้งานง่าย ไฟล์ภาพสวย ดี คมชัด จุดนี้อยากให้ไปทดลองใช้งานที่ตัวแทนจำหน่ายก่อน เพราะ J4 มีคุณภาพไฟล์เฉพาะตัวที่ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับ Nikon DSLR คุณภาพไฟล์และการออกแบบหลายส่วนยังก้ำกึ่งระหว่างดีกับไม่ดีต้องทดลองใช้เองถึงจะรู้่
Company Related Link :
Nikon
CyberBiz Social