LG Nexus 4 ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่กลายเป็นแสงแรกของแอลจีที่เรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับคืนมา ชูความโดดเด่นทางด้านดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน กับประสิทธิภาพของตัวเครื่องในระดับสูง รวมความพิเศษของเครื่องในตระกูล Nexus ที่จะได้รับการอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ก่อนรุ่นอื่นๆในท้องตลาด
แต่อย่างไรก็ตามจากการคาดการณ์ยอดในการผลิตสมาร์ทโฟนพลาดของทางกูเกิล ส่งผลให้แอลจีต้องลำบากใจในการจัดส่ง Nexus 4 เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย จนเกิดเป็นอาการของขาดตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในระดับราคา 17,900 บาท
การออกแบบและสเปก
ในแง่ของการออกแบบแอลจีเริ่มเข้ารูปเข้ารอยในตลาดสมาร์ทโฟนตั้งแต่การส่ง LG Prada2 ออกมาทำตลาดหลังจากนั้นก็เริ่มทยอยผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์แตกต่างจากเจ้าหลักในตลาด เมื่อมาถึงคราวของ Nexus 4 ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งโดดเด่นด้วยการที่ใช้กระจกจาก Corning Gorilla Glass 2 คลุมทั้งส่วนหน้าและหลัง พร้อมกับการดีไซน์ตัวเครื่องให้โค้งมนรับกับการจับถือ
ไม่แง่ของวัสดุตัวเครื่องนอกจากกระจกที่เป็นหลักแล้ว จะเป็นโครงเครื่องอะลูมิเนียมที่ให้สัมผัสการประกอบดูแข็งแรง โดยมีขนาดรอบเครื่องอยู่ที่ 133.9 x 68.7 x 9.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 139 กรัม วางจำหน่ายช่วงแรกเพียงสีดำเท่านั้น
ด้านหน้า - จะพบกับหน้าจอสัมผัส WXGA แบบ IPS ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 768 พิกเซล (ความละเอียดเม็ดสี 320ppi) มีกล้องหน้าความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซลอยู่ที่มุมขวาบน ถัดลงมาจากช่องลำโพงสนทนาที่ขอบบน และด้วยความของแอนดรอยด์ที่ใช้ Jelly Bean จึงไม่จำเป็นต้องมีปุ่มสั่งงานที่ตัวเครื่องแต่อย่างใด ล่างหน้าจอจึงกลายเป็นที่อยู่ของไฟแสดงสถานะแทน
ด้านหลัง - ด้วยความที่ใช้กระจกคลุมทั้งฝาหลัง ส่งผลให้ตัวเครื่องไม่สามารถถอดฝาหลังได้ แต่จุดนี้แอลจีก็ซ่อนทีเด็ดทางด้านการดีไซน์ไว้ด้วยลวดลาย Crystal Reflection ที่สะท้อนตามเงาของแสง ช่วยให้ตัวเครื่องมีความหรูหรามากขึ้น โดยมีตัวอักษร Nexus อยู่กึ่งกลางบนใกล้เคียงกับกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และไฟแฟลช ส่วนขอบล่างจะมีสัญลักษณ์ LG ลำโพง และเครื่องหมายสัญลักษณ์ทางการค้าต่างๆ ส่วนแบตเตอรีที่บรรจุอยู่ภายใน-okf 2,100 mAh
ด้านซ้าย - เป็นที่อยู่ของปุ่มปรับระดับเสียง และช่องใส่ซิมการ์ดที่ต้องใช้เหล็กแหลมๆจิ้มเข้าไปในรูให้ถาดดันออกมา โดยซิมที่ใช้จะเป็นไมโครซิม ด้านขวา - มีเพียงปุ่มเปิด-ปิดเครื่องเท่านั้น
ด้านบน - มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และช่องไมโครโฟนตัดเสียง ด้านล่าง - เป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี ที่มีช่องไมโครโฟนสนทนาอยู่ และรูขันน็อตยึดตัวเครื่องที่มุมทั้ง 2 ฝั่ง
สำหรับสเปกภายในของ LG Nexus 4 มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon S4 Pro บนสถาปัตยกรรม ARM Cortex A9 ควอดคอร์ ความเร็ว 1.5 GHz หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 320 RAM 2 GB หน่วยความจำภายใน 16 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2.1 (Jelly Bean)
ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 3G ทุกคลื่นความถี่ ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n บลูทูธ NFC สามารถใช้กับที่ชาร์จไร้สายได้ มีระบบ GPS ภายในตัว
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
จุดเด่นของเครื่องในตระกูล Nexus นั่นอย่างที่ทราบกันดีว่าจะมากับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แบบโล่งๆ เพียงแต่จะได้ใช้งานรุ่นใหม่ล่าสุดก่อนใครๆเสมอ ดังนั้นรูปแบบการใช้งานจึงถือว่าเป็นพื้นฐาน ก่อนที่แต่ละแบรนด์จะนำไปครอบอินเตอร์เฟสในแบบที่โดดเด่นของแต่ละค่าย
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมาบน Jelly Bean ไล่กันตั้งแต่หน้าปลดล็อกโทรศัพท์ ที่สามารถใช้นิ้วปาดซ้าย เพื่อเข้าสู่ไอค่อนลัดในการเข้าใช้งานปฏิทิน นาฬิกา จีเมล กูเกิลพลัส ข้อความ และอื่นๆตามที่ให้ตั้งค่า ส่วนถ้าปาดมาทางขวาก็จะเข้าโหมดใช้งานกล้องอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เมื่อเข้ามาสู่หน้าจอหลัก ก็จะเป็นหน้าต่างโล่งๆให้ผู้ใช้เลือกนำวิตเจ็ตที่ใช้งานบ่อยๆเข้ามาวางไว้แต่ละหน้า ซึ่งตรงนี้สามารถทำไอค่อนของแอปพลิเคชันต่างๆมารวมกันไว้เป็นโฟลเดอร์ให้เรียกใช้งานได้ง่านขึ้น
พื้นที่ส่วนล่างหน้าจอเป็น ไอค่อนหลัก 4 ไอค่อนที่สามารถสลับสับเปลี่ยน หรือสร้างโฟลเดอร์รวมแอปฯได้เช่นเดียวกัน โดยมี และมีไอค่อนตรงกลางสำหรับกดเข้าไปดูแอปพลิเคชันทั้งหมดในเครื่อง พร้อมกับแบ่งปุ่มสัมผัสหลัก 3 ปุ่มคือ ย้อนกลับ โฮม และเรียกดูแอปฯที่ใช้งานย้อนหลัง (Recent App)
หน้าจอแจ้งเตือนมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมกล่าวคือ การแสดงผลจะมีการแสดงรายละเอียดมากขึ้น ส่วนที่มุมขวาบนจะมีปุ่มสำหรับเข้าสู่หน้าการตั้งค่าด่วน อย่างเช่นการปรับความสว่างหน้าจอ เชื่อมต่อไวไฟ ดูสถานะแบตเตอรี เปิดไฟลท์โหมด บลูทูธเป็นต้น
อีกฟังก์ชันหนึ่งที่มีเพิ่มเข้ามาคือ Google Now เรียกใช้งานได้โดยการกดปุ่มโฮมค้างไว้ เมื่อกดแล้วก็จะเข้าสู่หน้า Google Now Cards ที่สามารถเลือกการแสดงผลทั้งพยากรณ์อากาศ การคำนวนแผนการเดินทางทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารประจำทาง หรือใช้สำหรับค้นหาข้อมูลต่างๆ
แอปพลิเคชันที่ติดมากับเครื่องจะเป็นแบบตามมาตรฐาน ไม่มีแอปฯอะไรพิเศษเพิ่มขึ้นมา
ถัดมาในส่วนของนาฬิกา ก็มีการเปลี่ยนแปลงอินเตอร์เฟสให้ดูสวยงามขึ้ไล่ตั้งแต่จับเวลา นับเวลาถอยหลัง เวลาในสถานที่ต่างๆทั่วประเทศ การตั้งนาฬิกาปลุก และการเปิดใช้งานในโหมดนอนหลับ ที่จะปรับความสว่างหน้าจอลงและแสดงเวลาให้หยิบดูเวลานอน เช่นเดียวกับเครื่องคิดเลขที่มีการปรับรูปลักษณ์ให้ดูทันสมัยมากขึ้นด้วย
โหมดใช้งานโทรศัพท์ใน Nexus 4 ถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าไหร่นัก ยังไม่รองรับระบบคาดเดารายชื่อผู้ติดต่อ ทำให้เวลาใช้งานต้องเข้าไปค้นหาหมายเลขในรายชื่อเช่นเดิม ขณะที่หน้าจอการสนทนา จะมีบอกชื่อ หมายเลขที่มุมซ้ายบน เวลาการใช้สายที่มุมขวาบน ตรงกลางถ้ามีภาพผู้ติดต่ออยู่ก็จะขึ้นแสดงให้เห็น
ส่วนล่างก็จะเป็นปุ่มวางสายขนาดใหญ่สีแดง โดยมีไอค่อนลัดสำหรับเรียกคีย์แพด เปิดลำโพง ปิดไมโครโฟน พักสาย และเพิ่มสายสนทนาให้เลือก ส่วนกรณีที่มีสายเรียกเข้า สามารถใช้นิ้วลากไปทางซ้ายเพื่อตัดสาย ขึ้นบนเพื่อส่งข้อความกลับ และทางขวาเพื่อรับสายเป็นต้น
โหมดเครื่องเล่นเพลงเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีการปรับปรุงให้ดูใช้งานง่ายมากขึ้น การแสดงผลหน้าปกอัลบั้มแบบเต็มๆ พร้อมกับปุ่มควบคุมที่อยู่ขอบล่างแม้ขณะดูรายชื่อเพลงถัดไป ทำให้สามารถกดเปลี่ยนเพลงได้เรื่อยๆ และยังเข้าไปปรับอีควอไลเซอร์เพิ่มเติมได้อีกด้วย
ที่พิเศษคือกรณีที่เปิดเพลงฟังอยู่ และปิดหน้าจอโทรศัพท์ไป หลังจากกดเปิดขึ้นมาในหน้าจอล็อกสกรีนก็จะมีเมนูลัดสำหรับกดเปลี่ยนเพลง ที่สามารถใช้นิ้วลากลงมาเพื่อดูปกอัลบั้มแบบเต็มๆได้ เช่นเดียวกับในแถบการแจ้งเตือนก็จะมีการแสดงรายละเอียดเพลง และปุ่มควบคุมเพลงอยู่ด้วยเช่นกัน
สำหรับโหมดรับชมภาพยนตร์ ตัวเครื่องรองรับไฟล์ความละเอียดสูงถึง 1080p รองรับระบบการเลือกภาษาที่บรรยาย และยังสามารถบันทึกสกรีนช็อตเพื่อแชร์ไปยังเครือข่ายสังคมต่างๆได้ทันทีอีกด้วย ซึ่งด้วยความที่หน้าจอมีขนาดใหญ่ทำให้สามารถรับชมภาพนตร์ได้อย่างจุใจ
ขณะที่โหมดถ่ายภาพ ถูกออกแบบใหม่มาให้ปรับแต่งได้น้อยลง กล่าวคือเมื่อกดนิ้วค้างที่หน้าจอจะมีวงแหวนควบคุม ไล่ตั้งแต่การสลับกล้องหน้าหลัง เปิดโหมด HDR แฟลช ปรับสมดุลแสงขาว ปรับความสว่าง หรือถ้าต้องการเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพก็สามารถกดได้ที่มุมขวาล่าง โดยจะมีโหมดถ่ายภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว พาโนราม่า และสุดท้ายคือโหมด Photo Sphere ที่ใช้ถ่ายภาพแบบ 360 องศา
หลังจากการถ่ายภาพก็มาถึงโหมดดูรูปภาพ ที่ผู้ใช้สามารถกดแชร์ไปยังเครือข่ายสังคม หรือผ่านแอปพลิเคชันอื่นๆได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถใช้ปรับแต่งรูปภาพเล็กๆน้อยๆอย่างการหมุนภาพ ตัดภาพ ใส่กรอบ ใส่ฟิลเตอร์ ทำภาพซ้อน ปรับความคมชัด ปรับแสง
ส่วนคีย์บอร์ดที่ให้มารองรับการใช้งานการลากนิ้ว (Swype) แทนการพิมพ์แบบปกติ โดยเลย์เอาท์จะเหมือนคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์ปกติ ทั้งยังมีการเพิ่ม Emoji เข้ามาให้เลือกใช้กันด้วย
การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์เหลือเพียงการใช้งานบน Chrome ที่รองรับการแสดงผลแบบ HTML5 เป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถใช้งานแฟลชบนหน้าเว็บได้แล้ว ความลื่นไหลในการใช้งานถือว่ารวดเร็วและลื่นขึ้นกว่าเดิมมาก
ในส่วนของผลการทดสอบ LG Nexus 4 ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 3,961 คะแนน และ 16,540 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน
ทดสอบการทำงาน HTML5 และ Metal ผ่านแอปฯ Vellamo ได้ 1,111 คะแนน และ 530 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 และ Nenamark2 59.9 fps และ 57.6 fps An3dBench 7,226 คะแนน และ An3dBenchXL 36,070 คะแนน
ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 2,227 คะแนน CPU 8,038 คะแนน Disk 4,302 คะแนน Memory 2,274 คะแนน 2D Graphics 1,690 คะแนน และ 3D Graphics 716 คะแนน
ส่วนผลการทดสอบ CF-Bench ดูได้จากภาพด้านล่าง
จุดขาย
- เป็นเครื่องแบบ Pure Google กล่าวคือสามารถอัปเกรดแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่ได้ทันที
- ตัวเครื่องประสิทธิภาพสูงทั้งซีพียูควอดคอร์ RAM 2 GB ทำให้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
- การดีไซน์ตัวเครื่องที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้
- ยังไม่รองรับการใช้งาน 4G
- ตัวเครื่องร้อนค่อนข้างง่าย จากหน่วยประมวลผลแบบควอดคอร์
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
Nexus 4 ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการอินเตอร์เฟสที่ดูรกตามาครอบความลื่นไหลให้เสียความรู้สึก เพราะจากความที่เป็น Pure Google ทำให้การตอบสนองต่อการใช้งานค่อนข้างลื่นไหล และเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ใหม่สดเสมออยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปเสียเวลารอให้ทางแบรนด์ผู้ผลิตทำการพัฒนาขึ้นให้รองรับกับรุ่นนั้นๆโดดเฉพาะ
ประสิทธิภาพของ Nexus 4 ถือว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์เลยก็ว่าได้ เมื่อเทียบกับราคา 17,900 บาทที่วางจำหน่ายตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่มาจนถึงปัจจุบันสินค้าก็ยังประสบปัญหาของขาดอยู่บ้าง อาจมองว่าทางแอลจีเองอยากเก็บลูกค้ากลุ่มนึงที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบใกล้เคียงกัน แต่ประสิทธิภาพสูงกว่าอย่าง Optimus G ที่เปิดราคามา 19,900 บาท ก็เป็นได้
เพิ่มเติมในส่วนของแบตเตอรี ด้วยความที่ใช้หน่วยประมวลผลแบบควอดคอร์ กับหน้าจอขนาดใหญ่ ส่งผลให้แม้จะมีแบตเตอรีขนาด 2,100 mAh แต่ก็ไม่ช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานได้มากเท่าใดนัก เพราะหากนับการใช้งานเชื่อมต่อ 3G/Wi-Fi ใช้งานซิงค์อีเมล เปิดเว็บเบราว์เซอร์บ้าง หากใช้งานแต่เช้าช่วงบ่ายแก่ๆก็ใกล้จะหมดตามปกติ ดังนั้นถ้าใช้งานหนักๆก็ควรหาแบตเตอรีสำรองพกติดตัวไว้ด้วย
Company Related Links :
LG
CyberBiz Social