xs
xsm
sm
md
lg

Updated - Review : Samsung i8000 ออมเนียเจน 2 กับรูปลักษณ์ใหม่ที่ใช้งานง่ายขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




หลังจากที่ซัมซุง ออมเนีย ได้สร้างปรากฏการณ์ทัชโฟนทั่วโลก และเป็นผู้ริเริ่มเทรนด์ทัชโฟนในประเทศไทยจนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปีที่ผ่านมา(2551) จนกระทั่งมาถึงช่วงกลางปีนี้เป็นเวลากว่า 1 ปี ที่ทางซัมซุงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้ฤกษ์เปิดตัวทีเเดียวถึง 4 รุ่นรวด โดยตั้งชื่อกลุ่มนี้ว่า “ออมเนีย แฟมิลี” ประกอบด้วย ออมเนีย II(I8000) , ออมเนีย PRO ซีรีส์แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ B7610 กับB7320 และออมเนีย ไลท์(B7300) ถ้าหากรวมออมเนียรุ่นแรกเข้าไปด้วย จะทำให้ขณะนี้ครอบครัวออมเนียมีทั้งหมด 5 รุ่นให้เลือกสรรด้วยกัน ซึ่งจุดสังเกตของรุ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นออมเนีย คือ ต้องใช้งานภายใต้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โมบายเท่านั้น

สำหรับรุ่นที่จะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้คือ "ซัมซุง ออมเนีย II(I8000)" จัดเป็นออมเนียเจนเนเรชันที่ 2 ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อยอดความสำเร็จจากทัชโฟนออมเนียรุ่นแรก(ออมเนีย i900) โดยยังชูจุดเด่นที่การตอบสนองครบทุกความต้องการของผู้ใช้ ตั้งแต่การใช้งานเพื่อความบันเทิง-มัลติมีเดีย จนถึงการใช้งานที่รองรับเพื่อธุรกิจขั้นสูงกันเลยทีเดียว แต่สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นแรกที่เห็นได้ชัด คือ อินเตอร์เฟสการใช้งานที่ใส่มาผสมรวมด้วยนั้น ดูน่าใช้งานกว่าเดิมชนิดที่ไม่หลงเหลือความเป็นออมเนียรุ่นแรกอยู่เลย รวมถึงยังสามารถใช้งานได้สะดวกสบายกว่าเดิมเช่นกัน

Feature On Samsung i8000 (Omnia 2)



"ซัมซุงออมเนีย 2" นี้ยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Mobile 6.1 เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง (เครื่องที่นำมาทดสอบนี้เป็นเครื่อง Prototype ในอนาคตหากมีการวางจำหน่ายสามารถอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 6.5 ได้เลย หรือไม่แน่อาจจะมาพร้อมกับเครื่องที่วางจำหน่ายก็เป็นได้) โดยมีอินเตอร์เฟสแบบ 'Touch Wiz' เอกลักษณ์เฉพาะของทางซัมซุงสวมทับเพื่อให้หน้าตาดูน่าจับน่าใช้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งก็คล้ายกับรุ่นแรกที่วางจำหน่ายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ ออมเนีย 2 ใช้อินเตอร์เฟสแบบ 'Touch Wiz' เวอร์ชัน 2.0 ใหม่ล่าสุด ที่นอกจากจะมีวิตเจ็ตอยู่ในแถบ 'Side bar' ทางด้านข้าง สามารถลากไอคอนต่างๆออกมาวางไว้ทางหน้าจอหลักได้อย่างอิสระแล้ว ยังมีส่วนของเอฟเฟกต์มัลติมีเดียทรงลูกบาศก์สามมิติ (Media Gate 3D) และหน้าจอหลักมาให้ใช้งานอยู่ทั้งหมด 3 หน้าด้วยกัน จึงทำให้มีพื้นที่วางไอคอนเพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่า



นอกจากนี้ การเข้าใช้งานเมนู(กดปุ่มกลาง) ยังทำออกมาให้เรียกใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน เมื่อเปิดเข้าสู่เมนูจะพบกับเมนูต่างๆที่ถูกแบ่งเป็นหมวดซึ่งทางซัมซุงตั้งมาให้ใช้งานแบ่งออกเป็น 4 หมวด 4 หน้าด้วยกัน ได้แก่ หมวด "Productivity" ประกอบไปด้วย Phonebook, Touch Celendar, Clock, Tasks, Audio Note, Smart Search, Smart Memo, Calculator, File Manager, Smart Converter, Notes และSettings หมวด "Multimedia" ประกอบด้วย Touch Player, Photo Album, Camera, FM Radio, Digital Frame, Midomi, Video Editor, Streaming Player, Connected Home, QIK, Dice และSolitaire



หมวด "Internet" ประกอบด้วย Opera Browser, SMS-MMS, E-Mail, Messenger, RSS Reader, Podcast, Communities, Windows Live และJava สุดท้ายหมวด "Office" ประกอบด้วย Word Mobile, Excel Mobile, PowerPoint Mobile, OneNote Mobile, Adobe Reader LE, Smart Reader, Active Sync และInternet Sharing นอกจากนี้ยังมีหมวดพิเศษอย่าง "Other" มาให้ติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติมอีกด้วย ในส่วนของเมนูสามารถแก้ไขเพิ่ม-ลดเมนู เคลื่อนย้ายตำแหน่งเมนู รวมถึงเพิ่มหมวดได้ตามต้องการ โดยกดที่ "Edit" มุมขวาล่างแล้วก็จัดการได้ตามใจชอบ การเพิ่มหน้านั้นรองรับให้เพิ่มได้มากถึง 10 หน้าเลยทีเดียว (หลักการคล้ายกับไอโฟน)

การที่ซัมซุงมีอินเตอร์เฟสเข้ามาสวมทับก็เพื่อให้ผู้ใช้งานง่ายต่อการเลือกหาเมนู รวมถึงสามารถใช้ปลายนิ้วสัมผัสได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งปากกาสไตลัสมากนัก และยิ่งอินเตอร์เฟสล่าสุดที่นำมาใช้กับรุ่นนี้ ต้องบอกว่ามีการอำนวยความสะดวกไปกว่ารุ่นเก่าอยู่มากเลยทีเดียว มีการจัดหมวดหมู่ใช้งานอย่างชัดเจน ไม่ต้องเข้าไปนั่งหาในหมวดโปรแกรมที่วางปนรวมบนหน้าวินโดวส์ โมบายเดิมให้เสียเวลา สีสันก็ทำออกมาได้น่าใช้ และสามารถตอบสนองปลายนิ้วมือได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ปากกาสไตลัสเลย ซึ่งเห็นได้จากที่รุ่นนี้ไม่มีปากกาสไตลัสติดมาให้ใช้งานแต่อย่างใด เรียกได้ว่า รูปลักษณ์ภายนอกแทบจะไม่หลงเหลือของความเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โมบาย ไว้เลยก็ว่าได้ ทั้งที่ภายในยังใช้ระบบปฏิบัติการนี้อยู่

Media Gate 3D



"Media Gate 3D" เป็นอินเตอร์เฟสการใช้งานที่ทางซัมซุงใส่เข้ามาในเวอชัน 2.0 ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์มัลติมีเดียทรงลูกบาศก์สามมิติ (3D Cube) สามารถเรียกใช้อินเตอร์เฟสนี้ได้ โดยการกดปุ่มเหนือปุ่มชัตเตอร์ข้างเครื่องด้านขวา หน้าจอจะปรากฏเป็นรูปสี่เหลี่ยมทรงลูกบาศก์สามมิติขึ้นมา สามารถใช้นิ้วเลื่อนเพื่อบังคับทิศทางไปยังหน้าต่างๆทั้ง 6 ด้าน หรือจะเลือกผ่านแถบด้านล่างก็สามารถเรียกใช้งานได้เช่นเดียวกัน โดยฟังก์ชันที่อยู่บนลูกบาศก์สามมิติทั้ง 6 หน้า ประกอบไปด้วย อัลบั้มภาพ, เครื่องเล่นเพลง, เครื่องเล่นวิดีโอ, วิทยุ FM, เกมส์และอื่นๆ สุดท้ายฟังก์ชันอินเทอร์เน็ต เมื่อเรียกใช้งานจะปรากฏเป็นปกอัลบั้มตามฟังก์ชันต่างๆที่ได้เลือก สามารถเลื่อนเลือกใช้งานได้ง่ายๆเพียงแค่เลื่อนนิ้วไป-มา และเมื่อเจอไฟล์อัลบั้มตามที่ต้องการแล้วก็ให้ใช้นิ้วจิ้มที่อัลบั้มนั้นอีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะใช้งานไฟล์อัลบั้มนี้ สามารถชมสาธิตการใช้งานแบบละเอียดได้ที่นี่

Task Switcher



นอกจากนี้ "ออมเนีย 2" ยังมี"Task Switcher" เข้ามาอำนวยความสะดวกในการเรียกใช้งานปิดโปรแกรมต่างๆที่เปิดค้างเอาไว้ด้วย ซึ่งมันก็คือ "Task Manager" ที่คุ้นหูกันนั่นเอง โดยวิธีการปิดโปรแกรมนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ กดที่ "Task Switcher" ทางด้านล่างบนหน้าเมนู หรือจะกดที่ปุ่มเมนู(ปุ่มกลาง)ค้างไว้ เครื่องจะเข้าสู่ "Task Switcher" โดยอัตโนมัติ สามารถแสดงผลได้ทั้งแบบ 3D และตาราง สั่งปิดทีละโปรแกรมที่ "กากบาทมุมขวาบน" หรือจะปิดโปรแกรมที่เปิดอยู่ทั้งหมด โดยการกดปุ่ม "End All" ด้านล่างขวาสุด

Program And Setting



โปรแกรมที่มากับตัวเครื่องส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมพื้นฐานทั่วๆไปบนวินโดวส์ โมบาย ซึ่งถ้าเปรียบเทียบระหว่างฉบับดังเดิม กับที่สวมอินเตอร์เฟสลงไป ผู้เขียนมีความเห็นว่าแบบสวมอินเตอร์เฟสนั้นน่าใช้งานกว่าเยอะเลย รวมถึงเรียกใช้งานที่แบ่งเป็นหมวดหมู่ไว้อย่างง่ายดายขึ้นด้วย

Office



โปรแกรมเอกสารมีมาให้ใช้กันครบตามที่ได้เกริ่นไปแล้วในข้างต้น แต่ที่จะมาลงรายละเอียด คือ ระบบการป้อนข้อความซึ่งมีให้เลือกใช้งาน 4 รูปแบบ ได้แก่ กล่องเขียนด้วยลายมือ, เขียนลายมือแบบจดหมาย, คียบอร์ด และซัมซุงคีย์แพด(Samsung Keypad) โดยคีย์บอร์ดของซัมซุง(Samsung Keypad) ได้พยายามทำรูปร่างหน้าตา รวมถึงการใช้งานให้เหมือนไอโฟน แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบเทียบเท่าได้ กล่าวคือ รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงแล้ว แต่การใช้งานคีย์บอร์ดยังเป็นการแตะทีละตัวอักษรอยู่ดี ไม่สามารถกดค้างแล้วรูดไล่เหมือนเช่นไอโฟนได้(ยกเว้นกดแล้วรูดแบบไวๆ) หากกดค้างไว้จะกลายเป็นเรียกใช้งานตัวอักษรที่อยู่ด้านบนทันที สำหรับเครื่องที่นำมาทดสอบนี้เป็นเครื่อง Prototype จึงยังไม่มีภาษาไทยมาให้ใช้งาน แต่ที่จะวางจำหน่ายมีแน่นอนครับ

Internet



ด้านอินเทอร์เน็ตของรุ่นนี้ใช้งานผ่าน GPRS, EDGE, Wi-Fi รองรับเครือข่ายอนาคตอย่าง HSDPA 7.2 Mbps และ HSUPA 5.76 Mbps ไว้เรียบร้อยแล้ว เบราวเซอร์ที่ให้มาใช้งานมีให้เลือก 2 โปรแกรม คือ Opera Browser กับInternet Explorer(เครื่องนี้ยังไม่รอบรับภาษาไทยจึงทำให้ไม่สามารถแสดงเป็นภาษาไทยได้ เครื่องวางจำหน่ายแสดงผลภาษาไทยได้แน่นอน) นอกจากเบราวเซอร์แล้วยังมีโปรแกรม RSS Reader สำหรับผู้ที่ชอบติดตามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา, Podcast, AccuWeather พยากรณ์อากาศทั่วโลก, Messenger สำหรับผู้ที่ขาดแชตไม่ได้ รวมถึง Yahoo และGoogle ส่วนสังคมออนไลน์ก็มีให้มาเลือกใช้งานครบเช่นกันทั้ง Facebook, Flickr, Friendster, Myspace Photobucket ฯลฯ

Multimedia

Camera



"กล้อง"ที่ติดมาให้ใช้งานในรุ่นนี้แทบจะไม่ต่างกับรุ่นแรกเลย ทั้งความละเอียดที่ยังคงไว้ที่ 5 ล้านพิกเซลเหมือนเดิม และหน้าตาฟังก์ชันที่ยังมีหน้าตาแบบเดิมๆ ส่วนลูกเล่นมีเพิ่มมาเล็กน้อยเท่านั้น กล้องด้านหน้าใช้งานแค่ 'Video Call' ของระบบ 3G เพียงอย่างเดียว



ไล่ดูเริ่มจากโหมดถ่ายภาพนิ่ง สามารถเลือกค่าการใช้งานได้หลายแบบ ได้แก่ ถ่ายแบบช็อตเดียว, ถ่ายต่อเนื่องแบบกดชัตเตอร์ค้างไว้ (สูงสุด 6 ภาพ), ถ่ายแบบตรวจจับรอยยิ้ม หรือสไมล์ช็อต, Mosaic มีให้เลือกอยู่ 3 แบบ, พาโนรามา ถ่ายได้ 8 ช็อตติดต่อกันโดยใช้ Sensor เป็นตัวจับความเคลื่อนไหว ทำให้เมื่อเล็งเป้าหมายถ่ายภาพแรก สามารถเลื่อนมุมกล้องไปด้านข้างเพื่อถ่ายต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนครบ 8 ช็อตเองโดยอัตโนมัติ และเชื่อมขอบต่อภาพให้เอง สุดท้ายโหมด Action



ในรุ่นนี้มี"โหมดซีน" มาให้เลือกเล่นกันด้วย โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งหมด 14 รูปแบบ ได้แก่ ปกติ, ถ่ายบุคคล, ภาพวิว, พระอาทิตย์ขึ้น, พระอาทิตย์ตก, กลางคืน, ตัวอักษร, กีฬา, แสงพื้นหลัง, ในร่ม, ชายหาดหรือหิมะ, สีสันของฤดูใบไม่ร่วง, ดอกไม้ไฟ และแสงเทียน เรียกได้ว่าใส่มาให้ใช้กันแบบเต็มเหนี่ยว ซึ่งเป็นลูกเล่นหนึ่งที่รุ่นแรกไม่ได้ใส่มาให้ใช้งาน



"การตั้งค่า" สามารถปรับค่าได้ดังนี้ เริ่มจากความละเอียดมีให้เลือกปรับ 4 แบบ ได้แก่ 5 ล้านพิกเซล(2560x1920), 3 ล้านพิกเซล(2048x1536), 2 ล้านพิกเซล(1600x1200) และ0.3 ล้านพิกเซล(640x480) สมดุลสีขาว(White Balance) มีให้เลือกปรับ 5 แบบ ได้แก่ อัตโนมัติ, แสงจ้า, สว่างน้อย, อินแคนเดสเซนต์ และฟลูออเรสเซนต์ เอฟเฟกต์มีให้เลือกปรับ 7 แบบ ได้แก่ ไม่มี, ภาพขาวดำ, สีน้ำตาลแดง(ซีเปีย), เนกาทีฟ, ภาพสีทองแดง, ภาพสีเขียว และภาพสีฟ้า ISO (Auto, 50, 100, 200, 400) ปรับแต่งค่าสี การตั้งเวลา (2, 5,10 วินาที) การวัดแสง (เมทริกซ์, เน้นตรงกลาง และตำแหน่ง) คุณภาพของรูป (ดี, ปกติ และพื้นฐาน) ระบบป้องกันภาพสั่น



ส่วน"การปรับค่า"การใช้งานทั่วไปนั้นมีให้เลือกปรับค่า ได้แก่ กำหนดการแสดงผล มีให้เลือกใช้งานดังนี้ เปิด, ปิด และ 2 วินาที, เปิด-ปิดการใช้งานไกด์ไลน์, GPS, ระบุแหล่งที่เก็บภาพ ว่าจะให้เก็บลงเครื่อง หรือเก็บลงบนการ์ดความจำ และเสียงชัตเตอร์มีให้เลือกใช้งานดังนี้ เสียง 1, 2, 3 นอกจากนี้ บนหน้าจอถ่ายภาพยังมีเลือกใช้งานแฟลช (เปิด, ปิด, ออโต้) โหมดโฟกัส (ออโต้, ระยะใกล้, จับใบหน้า) และปริมาณการรับแสง



สุดท้าย"โหมดกล้องวิดีโอ" มีให้เลือกบันทึกทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ ปกติ, MMS และSlow สามารถซูมภาพขณะบันทึกในโหมดนี้ได้ "การตั้งค่า" ในโหมดวิดีโอสามารถตั้งค่าได้ดังนี้ ปรับค่าความละเอียด มีให้เลือกปรับได้ 3 ค่า คือ 720x480 พิกเซล, 640x480 และ320x240 พิกเซล, ตั้งต่าปรับสมดุลสีขาว, เอฟเฟกต์, ปรับสี, ตั้งเวลา, วัดแสง, คุณภาพของไฟล์, แสดงไกด์ไลน์ เลือกแหล่งเก็บทั้งหมดทำได้เหมือนกับโหมดถ่ายภาพนิ่ง

Touch Player



"Touch Player" หรือ "เครื่องเล่นเพลง" ที่รู้จักกันนั่นเอง ซึ่งรูปร่างหน้าตานั้นเปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่หลักการทำงานรวมถึงลูกเล่นต่างๆยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเข้าใช้งานครั้งแรกไม่ต้องตกใจกับหน้าจออันว่างเปล่า ให้กด 'Search' ทางด้านล่างซ้ายก่อน จากนั้นเครื่องก็จะการค้นหาเพลงที่มีอยู่ในหน่วยความทุกส่วนทั้งตัวเครื่อง และในการ์ดหน่วยความจำ จากนั้นก็จะเข้าหน้าจอแรกที่ปรากฏฟังก์ชันตัวเลือกใช้งานว่าต้องการใช้งานในลักษณะไหน ซึ่งแสดงผลในรูปแบบของแท็ป 5 แท็ปด้วยกัน ได้แก่ แทร็กทั้งหมด, อัลบั้ม, นักร้อง, , วิดีโอ และรายการเพลง



เมื่อเลือกรูปแบบการใช้งานได้แล้วก็กดเลือกเพลงที่ต้องการเล่น เครื่องจะเข้าสู่เครื่องเล่นเพลงและเล่นเพลงโดยอัตโนมัติ การปรับค่าต่างๆสามารถทำได้สะดวกผ่านหน้าเครื่องเล่นเพลงได้เลย ประกอบไปด้วย ฟังก์ชันใช้งานเสียงรูปแบบ 3D Mode ได้แก่ Normal, Concert Hall, Wide, Bass Enhancement, Music Clarity, Externalisation, m-Theater Movie, Wow HD และCS-HP อีควอไลเซอร์ที่มีให้ปรับกว่า 6 รูปแบบ ได้แก่ Normal, Rock, Jazz, Live, Classic และFull Bass การทำงานแบบเล่นวนซ้ำ(เล่นวน 1 รอบ เล่นแบบวนซ้ำไปเรื่อยๆ และเล่นวนซ้ำเฉพาะเพลงที่เลือก) สุดท้ายปรับการสลับเล่นเพลงแบบสุ่ม นอกจากนี้ การค้นหาเพลงยังทำได้ง่ายตามหมวดตัวอักษร โดยการใช้นิ้วรูดที่แถบทางด้านข้างๆซึ่งมีหลักการคล้ายกับการหาเพลงในเครื่องเล่นไอพ็อต

FM Radio



"วิทยุ FM" สามารถใช้งานได้เมื่อต่อเข้ากับหูฟังสมอล์ทอล์กเท่านั้น โดยเมื่อกดเข้าสู่เมนูนี้จะพบกับฟังก์ชันการใช้งานต่างๆอยู่บนพื้นที่เดียวกัน ประกอบไปด้วย ส่วนบนเป็นที่แสดงลิสต์รายการคลื่นที่แสกนได้, สถานะการเล่น และหน้ารายการโปรดมีให้เลือกใช้ 2 หน้าด้วยกัน ถัดมาเป็นตัวเลขบอกคลื่นความถี่ทศนิยมตำแหน่งเดียว สามารถกดเลื่อนหาช่องโดยใช้นิ้วสัมผัสเลื่อนแถบหาช่องได้เลย หรือจะเลือกที่เครื่องหมาย +,- ก็ได้ หากจะแสกนทั้งหมดให้เลือก 'Scan' ทางด้านล่าง ถัดลงมาเป็นปุ่มควบคุมการเล่น มีปุ่มปรับระดับเสียงขนาบอยู่ทางซ้าย และปุ่มเลือกว่าจะให้เล่นผ่านหูฟัง หรือลำโพงเสียง ส่วนด้านล่างเป็นที่บันทึกคลื่นโปรดสามารถบันทึกได้ทั้งหมด 12 สถานี แบ่งเป็นหน้าละ 6 สถานีด้วยกัน



ส่วนโปรแกรมการตั้งค่านั้นมีให้เลือกตามปกติทั่วไปเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตั้งค่าความสว่างหน้าจอ การตั้งค่า GPS ฯลฯ ซึ่งทีมงานขอยกตัวอย่างโปรแกรมตั้งค่าเด่น 2 อย่าง คือ CPU Mode เป็นฟังก์ชันการตั้งค่า การทำงานของหน่วยประมวลผลให้ตรงกับการใช้งานของผู้ใช้มากที่สุด โดยมีให้เลือกใช้ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ Auto, High, Normal และLow เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > General Settings > Power > Performance แล้วก็เลือกตามการใช้งานได้เลย



อีกหนึ่งการตั้งค่าสำหรับผู้ที่คิดถึงการใช้วินโดวส์ โมบายฉบับดั้งเดิมก็สามารถตั้งค่าให้กลับไปใช้งานดังกล่าวได้ โดยการถอดอินเตอร์เฟสออก สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > General Settings >Samsung TouchWiz UI จากนั้นก็ติ๊กยกเลิกการใช้งานแล้วกด Done เป็นอันเรียบร้อย นอกจากนี้ ยังมีให้ปรับค่าในส่วนของโมชันคล้ายๆกับเครื่องที่ใช้อินเตอร์เฟส 'Touch Wiz' คือ การตั้งค่าปิดเสียงเรียกเข้าเมื่อผู้ใช้งานคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ และยังสามารถปรับศูนย์การใช้งานเอียงเครื่องตรงกับการใช้งานของผู้ใช้ด้วย



สำหรับรายละเอียดภายในของเครื่องรุ่นนี้ยังคงใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โมบาย 6.1 ถ้าวินโดวส์ โมบาย 6.5 ออกมาเมื่อไรสามารถนำเครื่องนี้ไปอัปเกรดได้ทันที หน่วยประมวลผล ARM 1176 S3C6410 @ 800MHz RAM ขนาด 256 MB ROM ขนาด 512 MB ส่วนความจุของตัวเครื่องที่นำมาทดสอบนี้มีขนาด 8 GB ซึ่งต้องไปลุ้นว่าซัมซุงจะนำรุ่นที่มีขนาดความจุเท่าไรมาวางจำหน่ายในบ้านเรา ระหว่าง 2, 8 และ16 GB ถ้าจะให้คาดการณ์ตามมาตรฐานน่าจะอยู่ที่ 8 GB

Design of Samsung i8000 (Omnia 2)



Samsung Omnia เวอร์ชัน 2 นี้ เมื่อเห็นหน้าตาแล้วไม่ต้องตกใจไปว่าทีมงานหยิบมารีวิวให้ชมผิดรุ่นหรือเปล่า เพราะหน้าตาฉีกไปจากรุ่นแรกแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย(ยกเว้นโลโก้ยี่ห้อซัมซุง) แต่ก็ดันไปคล้ายกับ "Samsung Jet" ที่เพิ่งรีวิวให้ชมไปเมื่อไม่นานนี้ซะงั้น เมื่อลองหยิบจับพลิกซ้าย-ขวา, หน้า-หลัง พบว่าการออกแบบทั้งหมดยังใช้พลาสติกคุณภาพสูงเป็นวัสดุห่อหุ้ม ทั้งนี้ก็เพื่อความเบาในการพกพานั่นเอง ขอบเครื่องมีโครเมียมครอบโดยรอบ การประกอบดูแน่นหนา-จับถือได้กระชับมือทีเดียว ตัวเครื่องมีขนาด 118 x 59.6 x 11.9 ม.ม. น้ำหนัก 117 กรัม



ด้านหน้า : พื้นผิวส่วนนี้มีลักษณะมันวาวตามสไตล์ซัมซุง ไล่จากส่วนบนสุดจะพบลำโพงวางชิดขอบบนอยู่ตรงกึ่งกลาง ถัดเยื้องลงมาทางด้านขวาเป็นเลนส์กล้องหน้าขนาดเล็ก สำหรับใช้ 'Video Call' อย่างเดียว ถัดลงมาเป็นยี่ห้อ "SAMSUNG" สีเงินวางพาดอยู่ตรงกึ่งกลาง ถัดมาทางด้านล่างเป็นจอแสดงผลทัชสกรีนแบบ AMOLED 65,536 ล้านสี ซึ่งแสดงผลได้คมชัดกว่าออมเนียรุ่นแรก รวมถึงมีขนาด 3.7 นิ้ว (480 x 800 พิกเซล) ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม (รุ่นแรก 3.2 นิ้ว 240 x 400 พิกเซล)



ใต้จอแสดงผล ยังคงเป็นปุ่มสไตล์เดียวกับซัมซุงเจ็ต ที่มีปุ่มหลักมาให้ 3 ปุ่มด้วยกัน ไล่จากซ้ายไปขวามีปุ่มรับสาย-โทรออก, ปุ่มเมนู(กดค้างเข้า Multi-Task) และปุ่มวางสาย (กดค้างเปิด-ปิดเครื่อง) วางเรียงตามลำดับอยู่ด้านล่างสุดของเครื่อง



ด้านหลัง : พลิกมาดูด้านหลังของเครื่องจะพบกับเลนส์ถ่ายภาพ พร้อมแฟลชแบบ Dual Power LED วางอยู่ในกรอบมุมบนทางด้านซ้าย ใต้กรอบมีข้อความการันตีความละเอียด "5 MEGA AUTO FOCUS" ถัดลงมาด้านซ้ายเกือบล่างสุดมียี่ห้อ "SAMSUNG" วางพาดอยู่ ไล่ลงมาตำแหน่งเดียวกันด้านล่างเป็นลำโพงเสียงถูกวางไว้บริเวณนี้ ลักษณะพื้นผิวทางด้านนี้เป็นแบบมันวาว ทำให้เป็นคราบรอยนิ้วมือได้อย่างง่ายดาย ซึ่งพื้นผิวส่วนนี้แตกต่างจากซัมซุงเจ็ตรงที่ไม่มีลายเส้นสีแดงที่อยู่ภายใน





เมื่อเปิดฝาหลังออก ไล่จากส่วนบนด้านขวาเลนส์กล้องเป็นช่องใส่เมมโมรีการ์ดแบบ microSD สามารถใส่ได้สูงสุดถึง 32 GB ถัดลงมาใต้เลนส์กล้องเป็นที่สำหรับใส่ซิมการ์ด ถัดมาด้านล่างเป็นช่องวางแบตเตอรี่ชนิด Li-Ion ขนาด 1500 mAh ซึ่งต้องถอดแบตฯออกก่อนทุกครั้งเมื่อใส่-ถอดซิมการ์ด ถึงแม้ว่าจะทำแยกออกมานละส่วนก็ตาม



ด้านขวา : ถูกออกแบบให้มีปุ่มล็อกหน้าจอไว้ด้านบนเครื่อง(กด 1 ครั้งล็อกเครื่อง และกดค้างเพื่อปลดล็อกเครื่อง) ถัดลงมาด้านล่างมีปุ่มเข้าใช้งานฟังก์ชันMotion กับMedia Gate 3D ใกล้กันเป็นปุ่มกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ-วิดีโอ (กดค้างเข้าฟังก์ชันถ่ายภาพ) การวางตำแหน่งปุ่มทุกอย่างเหมือนกับซัมซุงเจ็ตเด๊ะ



ด้านซ้าย : ด้านบนสุดเป็นช่องสำหรับร้อยสายคล้องข้อมือ-คอ ถัดมาใกล้กันเป็นปุ่มปรับระดับเพิ่ม-ลดเสียงในเมนูเพลง และขยายภาพเข้า-ออกในเมนูกล้อง เหมือนกับซัมซุงเจ็ตเช่นกัน





ด้านบน และด้านล่าง : ด้านบนมีพอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB 2.0 สำหรับใช้โอนถ่ายข้อมูล ชารจ์แบตฯ พร้อมฝาปิดมีสัญลักษณ์บอกชัดเจนบนฝาวางอยู่กึ่งกลางเครื่อง ถัดมาด้านขวาเป็นช่องต่อหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ส่วนทางด้านล่างมีเพียงช่องสำหรับเปิดฝาหลัง กับรูไมโครโฟนสำหรับสนทนาวางค่อนไปทางซ้ายเท่านั้น

บทสรุป

หลังการทดสอบ "Samsung i8000 (Omnia 2)" พบว่าประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องรุ่นนี้ทำได้ค่อนข้างไวเลยทีเดียว เนื่องจากใช้หน่วยประมวลผลตัวเดียวกับซัมซุงเจ็ตที่มีความไวถึง 800 MHz ซึ่งเครื่องทดสอบนี้ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โมบาย 6.1 หากในอนาคตต้องการจะอัปเกรดเป็นวินโดวส์ โมบาย 6.5 เครื่องรุ่นนี้ก็สามารถรองรับได้อย่างสบายโดยที่การทำงานก็ยังลื่นไหลเหมือนเดิม

ด้านการตอบสนองการสัมผัสด้วยนิ้วมือสามารถตอบสนองได้ไม่เลวเลยทีเดียว เนื่องด้วยผลพวงจากหน้าจอที่ให้มามีขนาดใหญ่ 3.7 นิ้ว และอินเตอร์เฟสเวอร์ชันใหม่ที่ช่วยเติมเต็มทั้งสีสัน และการใช้งานให้สะดวก-แม่นยำมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนแบบเทียบกันไม่ติด ถือว่าอินเตอร์เฟส 'Touch Wiz' 2.0 รุ่นใหม่ที่นำมาผสมใช้นั้นสอบผ่านฉลุยครับ ส่วนความคมชัดของจอแบบ AMOLED นั้นชัดแจ่มดูแล้วสบายตา แต่ถ้าดูในที่กลางแจ้งก็ต้องทำใจรับสภาพกับความชัดที่ลดลงครับ เสียงเรียกเข้า เสียงสนทนาดังชัดเจนดี

การเชื่อมต่อของเครื่องรุ่นนี้มีมาให้เลือกใช้ครบครัน ประกอบไปด้วย บลูทูธ 2.0(รองรับ A2DP), microUSB, ช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ TV-out เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน GPRS, EDGE และWi-Fi 802.11b/g รองรับเครือข่ายอนาคตอย่าง HSDPA 7.2 Mbps และ HSUPA 5.76 Mbp ส่วน GPS ที่มากับเครื่องนั้นยังไม่อาจสรุปได้เต็มปากว่าเครื่องที่กำลังจะวางจำหน่ายจะตอบสนองได้ดีขนาดไหน เนื่องด้วยเครื่องที่นำมาทดสอบยังเป็นเครื่อง Prototype อยู่ แต่เท่าที่ทดสอบผ่าน Google Maps ซึ่งโหลดมาติดตั้งเองพบว่าการจับสัญญาณยังไม่ไวเท่าไรนัก

ความบันเทิงที่ให้มากับเครื่องรุ่นนี้ยังครบเหมือนเช่นเคย โดยเครื่องเล่นเพลงมีการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาใหม่ ให้ดูมีสีสันสดใสน่าใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม เสียงที่ขับออกจากลำโพงด้านหลังมีมิติดีครับ เมื่อลองเร่งจนสุดไม่พบอาการเสียงแตกพร่าแต่อย่างใด ส่วนกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซลที่ติดมากับเครื่องรุ่นนี้นั้น ฟังก์ชันยังไม่มีการพัฒนาไปจากรุ่นแรกเท่าใดนัก คุณภาพของภาพถ่ายอยู่ในระดับปานกลาง แต่คุณภาพของวิดีโอถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

ส่วนเรื่องพลังงานของแบตเตอรีที่เครื่องรุ่นนี้ให้มาใช้ 1500 mAh นั้นถือว่าเพียงพอครับ ภายหลังการทดลองใช้งานโทรศัพท์ทั่วไป ฟังเพลง-วิทยุวันละ 2-3 ชั่วโมง ถ่ายรูป เล่นเกมวันละเล็กน้อย เปิดสัญญาณไว-ไฟ เล่นเว็บผ่านเบราวเซอร์วันละ 2 ชั่วโมง ใช้งาน GPS นำทางวันละชั่วโมง พบว่าสามารถอยู่ได้ 2 วันกว่าๆเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเพิ่มการใช้งานให้หนักขึ้นกว่านี้ 2 วันก็สามารถอยู่ได้สบายๆ อาจเป็นเพราะหน้าจอ AMOLED ที่เด่นเรื่องกินไฟน้อย ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานได้มากทีเดียว ซึ่งก็เหมือนกับซัมซุงเจ็ตที่กินพลังงานแบตฯน้อยเช่นกัน

หากใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนฟังก์ชันครบ ตอบสนองการสัมผัสนิ้วมือได้ดี ออมเนียรุ่น 2 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ และคุ้มค่ากับราคาที่ตั้งมาเลยทีเดียว

ขอชม
- รูปลักษณ์อินเตอร์เฟสน่าใช้งานมากกว่าเดิม และเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย
- ตอบสนองการสัมผัส รวมถึงความไวในการเรียกใช้งานทำได้ค่อนข้างไว
- หน้าจอแสดงผลทัชสกรีนขนาด 3.7 นิ้ว ถือว่าใหญ่-ใช้งานสะดวก

ขอติ
- หน้าจอแบบ AMOLED ให้ความคมชัดขึ้นกว่าเดิมก็จริง แต่ถ้าอยู่ในที่แสงจ้ามองลำบาก
- กล้องที่ให้มายังไม่มีการพัฒนาไปจากรุ่นแรกมากนัก
- พื้นผิวตัวเครื่องมันวาวทำให้เกิดคราบนิ้วมือได้ง่าย

Updated : ผู้สนใจสามารถสั่งจองได้ที่ร้านซัมซุง โมบายล์ พลาซ่า เจมาร์ท เพาเวอร์บาย และทีจีโฟนสาขาที่ร่วมรายการเพียงชำระเงินมัดจำ 1,000 บาท รับฟรี! ชุดอุปกรณ์เสริมสุดพิเศษหูฟังบลูทูธ ซัมซุง WEP-850 มูลค่า 1,990 บาท วันนี้ถึง 10 สิงหาคมศกนี้ ในราคา 23,900 บาท

Company Related Links :
Samsung










ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายเมื่อใช้โมเสก
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดมาโคร
ตัวอย่างภาพถ่ายเมื่อใช้เอฟเฟกต์สี
ตัวอย่างภาพถ่ายเมื่อปรับค่าสมดุลแสงต่างๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายเมื่อปรับค่าความไวแสงต่างๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดพาโนรามา

ตัวอย่างภาพถ่ายเปรียบเทียบโหมดปกติ กับโหมดถ่ายภาพวิว
กำลังโหลดความคิดเห็น