xs
xsm
sm
md
lg

Review : Samsung Omnia Pro B7610 รุ่นใหญ่ราคาคุ้มค่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




แม้ว่าสินค้าที่ทำให้ส่วนแบ่งในตลาดรวมซัมซุงพุ่งแซงหน้าโนเกียขึ้นมาได้จะเป็นทัชสกรีนโฟนที่เจาะกลุ่มฟีเจอร์โฟนราคาถูก แต่ในขณะเดียวกันก็กรุยทางให้สมาร์ทโฟนของตนเอง ออกมาวางจำหน่ายในราคาที่คุ้มค่า น่าซื้อหามาใช้งานจากสเปกและฟังก์ชันต่างๆ ที่มองในตลาดระดับราคาเดียวกันแล้วไม่มีใครสู้ได้

โดยสมาร์ทโฟนที่ซัมซุงออกมาทำตลาดในช่วงนี้ประกอบไปด้วย Omnia Pro และ Omnia Lite ซึ่งถ้านับการเปิดตัวในต่างประเทศแล้ว กินเวลาเกือบครึ่งปีเลยทีเดียวกว่าจะนำเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันแม้นำเข้ามาวางจำหน่ายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการโปรโมทมากเท่ากับรุ่นแคนดี้ หรือ สตาร์ในปัจจุบันอยู่ดี

Feature On Samsung Omnia Pro B7610

เป็นที่รู้กันว่าวินโดวส์โฟนอย่าง Omnia Pro นั้นยังคงใช้อินเตอร์เฟส "TouchWIZ" ที่แบ่งหน้าจอหลักออกเป็น 3 หน้าเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกวิตเจ็ทมาใส่ใช้งานได้ตามสะดวก ส่วนที่เรียกว่าวินโดวส์โฟนนั้น เนื่องมาจากเครื่องรุ่นนี้สามารถใช้งานวินโดวส์ โมบาย 6.5 ได้แล้ว ดังนั้นผู้ที่ซื้อเครื่องมาหรือมี Omnia 2 / Omnia Lite ที่ยังเป็นวินโดวส์ โมบาย 6.1 อยู่ในมือ สามารถเชื่อมต่อเครื่องเข้ากับ Samsung Pc-suite เพื่ออัปเดตได้ทันที

อินเตอร์เฟส "TouchWIZ" ในเครื่องรุ่นนี้แทบไม่ต่างจากในรุ่นก่อนหน้าอย่าง Omnia 2 ดังนั้นท่านผู้อ่านที่ต้องการรายละเอียดปลีกย่อยสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่ Review : Samsung i8000 ออมเนียเจน 2 กับรูปลักษณ์ใหม่ที่ใช้งานง่ายขึ้น ก่อนหน้านี้ ส่วนในรีวิวชิ้นนี้ จะขอพูดถึงสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานทางด้านธุรกิจมากขึ้นของ Omnia Pro



เริ่มกันที่ "Switch Mode" ซึ่ง ทำขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้แยกการใช้งานส่วนตัว กับเวลาทำงานออกจากกัน โดยจะเป็นการสลับระหว่างอินเตอร์เฟส TouchWIZ สำหรับการใช้งานปกติ และอินเตอร์เฟส "WidgetPlus" สำหรับใช้งานในโหมดทำงาน (สลับโหมดโดยการกดปุ่มทางด้านซ้ายเครื่องค้างไว้)



ซึ่งเมื่อสลับโหมดมาเป็น "Widget Plus" จะมีวิตเจ็ททั้งหมด 14 แบบให้เลือกใส่ ได้แก่ Time สำหรับแสดงเวลา Search ที่ใช้บริการค้นหาจากกูเกิล Photo Contacts สำหรับเลือกรายชื่อผู้ติดต่อที่ใช้บ่อย สามารถใส่ได้ 12 รายชื่อด้วยกัน Memo แสดงข้อความที่ได้บันทึกไว้ Notification แถบแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับ ข้อความ และอีเมล Message แสดงข้อความภายในเครื่อง World Clock ไว้บอกเวลาในต่างประเทศ Appointments เป็นแถบแสดงตารางนัดหมาย



ถัดมาเป็น Tasks ใช้แสดงสิ่งที่ต้องทำ RSS Feed สำหรับดึงฟีดข่าวจากที่ตั้งไว้ Network สำหรับบอกเครือข่ายที่ใช้งานในขณะนั้น Shortcuts เพื่อตั้งปุ่มลัดสำหรับเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน สามารถตั้งได้ทั้งหมด 12 ปุ่มด้วยกัน Email เป็นช่องแสดงอีเมลที่ซิงค์ไว้ และสุดท้าย Settings สำหรับควบคุมการ เปิด-ปิด โทรศัพท์ บลูทูธ ไวไฟ เสียง ฯลฯ

ทั้งนี้ในการใช้งาน WidgetPlus ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานเฉพาะวิตเจ็ทที่จำเป็นได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้งานทั้งหมด รวมไปถึงสามารถย้ายสลับแต่ละแถบให้อยู่บน-ล่างได้ตามต้องการ ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าหน้าจอแรกจะรกหรือยาวเกินไป



นอกจากนี้เมื่อเข้ามาใน Mode Manager ที่ใช้ควบคุมการสลับโหมดระหว่าง TouchWIZ และ WidgetPlus ผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลัง เสียงเรียกเข้า ตามแต่ละโหมด หรือในกรณีที่ไม่ต้องการใช้งานทั้ง TouchWIZ และ WidgetPlus ผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนหน้าจอแรกไปใช้แบบดั้งเดิมที่มากับวินโดวส์ โมบาย 6.5 ได้เช่นเดียวกัน




ขณะเดียวกัน ทางซัมซุงยังได้มีการทำเมนูโปรแกรมของตนเอง ภายใต้ชื่อ "My Menu" ที่สามารถเรียกใช้ได้จากปุ่มกดตรงกลาง ซึ่งเมื่อเข้ามาจะแบ่งออกเป็น 4 หมวดเมนูให้เลือก หน้าแรกเป็นช็อตคัทแอปฯที่ใช้งานเป็นประจำ หรือ ผู้ใช้สามารถเลือกแอปฯที่ตนเองต้องการมาไว้ในหน้านี้ได้

นอกจากหน้าหลักแล้ว เมื่อเลื่อนมาทางขวาเป็นหมวด Multimedia ซึ่งภายในจะมีแอปฯเกี่ยวกับความบันเทิงทั้งหมด แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงแอปฯที่อยู่ในหน้า My Menu ไปแล้ว หมวด Internet เป็นแอปฯที่เกี่ยวกับการเชื่อมต่อต่างๆ Office เป็นที่อยู่ของ Office Mobile และเครื่องมือทั่วไปๆ สุดท้าย Others เพื่อแสดงแอปฯ ที่เหลือภายในเครื่อง



โดยภายใน Communities จะประกอบไปด้วยรายชื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Flickr, Friendster, MySpace, Photobucket และ Picasa สุดท้ายคือ Task Switcher ที่ใช้ในการสลับไปมาระหว่างโปรแกรม ปิดโปรแกรมที่เปิดค้างไว้ รวมไปถึงสามารถใช้ควบคุมเครื่องเล่นเพลงได้อีกด้วย



ด้วยความที่เป็นหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ ทำให้ไม่มีปัญหาในการใช้งานโหมดโทรศัพท์ เนื่องจากปุ่มตัวเลขที่ขึ้นมาแสดงบนหน้าจอนั้น สามารถใช้นิ้วกดได้สบายๆ ในขณะเดียวกันยังมีปุ่มลัดสำหรับเข้าสมุดรายชื่อ รายการโทรล่าสุด และข้อความสั้นด้วย

ส่วนหน้าจอสายเรียกเข้าเป็นแบบเดิมที่มากับวินโดวส์ โมบาย คือแสดงเครือข่ายที่ใช้ เบอร์ที่เรียกหรือชื่อและรูปภาพผู้ติดต่อ ขณะที่หน้าจอขณะสนทนา แสดงเวลาโทรฯ และมีปุ่มลัดสำหรับเปิดลำโพง ปิดเสียง พักสาย อัดเสียง เข้าสมุดโทรศัพท์และวางสาย



สำหรับหน้าจอสมุดโทรศัพท์เป็นแบบเดียวกับ Omnia 2 คือผู้ใช้สามารถกำหนด Category เพื่อแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานได้ และยังสามารถเลือกรับสายหรือบล็อกเบอร์ทั้งหมดได้อีกด้วย แต่ที่น่าเสียดายคือทางซัมซุงยังไม่ได้พัฒนาให้สามารถเชื่อมต่อรายชื่อผู้ติดต่อเข้ากับเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆได้

Camera




การใช้งานกล้องในเครื่องรุ่นนี้ แทบจะไม่แตกต่างจากใน Omnia 2 เลย กล่าวคือ ในหน้าจอหลักประกอบไปด้วยแถบเครื่องมือ 2 ฝั่ง ทางซ้ายประกอบไปด้วยเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพ รูปแบบการถ่ายภาพ เลือกหมวดการถ่ายภาพ ปรับความละเอียด และเข้าสู่การตั้งค่า ส่วนฝั่งขวา มีปุ่มปิดแอปฯ ตั้งแฟลช ระบบการโฟกัส ตั้งชดเชยแสง และเข้าสู่โหมดดูรูปภาพ ในส่วนของการตั้งค่า มีให้ปรับ White Balance เอฟเฟกต์ ค่าความไวแสง ตั้งเวลาถ่าย ระยะโฟกัส คุณภาพของรูป ความละเอียดของวิดีโอ ระบบกันสั้น และ WDR



โหมดการถ่ายภาพในเครื่องรุ่นนี้ สามารถเลือกใช้งานได้ทั้ง ถ่ายทีละภาพ ถ่ายภาพต่อเนื่อง สไมล์ชอต โมเสก พาโนราม่า และแอคชัน ระบบโฟกัสเลือกได้ทั้งอัตโนมัติ มาโคร และตามใบหน้า ส่วนซีนที่มีให้เลือกใช้ประกอบไปด้วย ปกติ บุคคล ทิวทัศน์ พระอาทิตย์ตก แสงน้อย กลางคืน ตัวอักษร กีฬา ย้อนแสง บุคคลในร่ม หิมะ ทะเล ใบไม้ร่วง ดอกไม้ไฟ และแสงเทียน



การตั้งค่าทั่วไป ประกอบไปด้วยตั้งเวลาแสดงภาพหลังจากถ่าย แสดงไกด์ไลน์เวลาถ่ายภาพ เปิดโหมดระบุพิกัดรูปภาพ ตั้งอัดเสียงในหมวดวิดีโอ หน่วยความจำที่ใช้ และเสียงชัตเตอร์

Program And Setting




นอกจากรูปแบบเมนูในสไตล์ของซัมซุงแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถเข้าสู่รูปแบบเมนูดังเดิมของวินโดวส์ โมบาย 6.5 ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเมนูที่เห็นก็ เป็นเช่นเดียวกับภายในเมนูสไตล์ของซัมซุง เพียงแต่ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่เท่านั้นเอง ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดก็มีมาให้ตามมาตรฐานทั่วไป

ที่น่าสนใจคือในส่วนของการตั้งค่า ที่ทางซัมซุงทำอินเตอร์เฟสครอบคลุมการตั้งค่าเดิมของวินโดวส์ โมบาย เดิมๆ ทั้งหมด ทำให้แรกเริ่มในการใช้งานจำเป็นต้องเปลี่ยนความเคยชินเล็กน้อย แต่เชื่อว่าสำหรับผู้ใช้ที่เป็นมือใหม่จะสามารถใช้งานตรงส่วนนี้ได้อย่างสบายๆ เนื่องจากมีรายละเอียดบอกถึงการปรับแต่งชัดเจน



นอกจากมัลติมีเดียทั่วไป เครื่องรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับวิทยุFM ที่สามารถตั้งสถานีได้แบบอัตโนมัติ โดยถ้าเอียงเครื่อง รูปแบบจะเปลี่ยนไปเป็นคล้ายหน้าปัดคลื่นวิทยุ ให้เลื่อนซ้าย-ขวา เลือกสถานีได้ทันที



อีกหนึ่งอย่างสำหรับมัลติมีเดียคือระบบ DLNA ที่ช่วยให้ Omnia Pro สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เข้ากับโทรทัศน์ที่รองรับระบบการใช้งานดังกล่าว ผ่านเครือข่ายไวเลสภายใน อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถแสดงรูปภาพ-วิดีโอจากโทรศัพท์เข้าสู่โทรทัศน์ได้ โดยไม่ต้องต่อสายให้ยุ่งยาก

ส่วนของระบบฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องรุ่นนี้ จะใช้ซีพียู รุ่นเดียวกับใน ซัมซุง เจ็ท ที่มีความเร็ว 800 MHz Rom ขนาด 512MB Ram ขนาด 256MB โดยเครื่องที่ทดสอบเป็นวินโดวส์ โมบาย 6.5

Design of Samsung Omnia Pro B7610



ในส่วนของดีไซน์นั้นด้วยความที่เป็นเครื่องรุ่นใหญ่ เน้นไปที่การใข้งานทางด้านธุรกิจเป็นหลัก ทำให้ดีไซน์อาจจะไม่ดูโฉบเฉี่ยวเท่าที่ควร ภายนอกยังคงเอกลักษณ์ในสไตล์ทัชโฟนรุ่นใหม่ของซัมซุงคือเป็นเครื่องสีดำ มีปุ่มควบคุมอยู่ด้านล่าง 3 ปุ่ม ส่วนวัสดุที่ใช้จะเป็นพลาสติกคุณภาพสูงเป็นหลัก ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 112.6 x 57.8 x 16.2 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 159.5 กรัม



ด้านหน้า - ไล่จากส่วนบนจะพบช่องลำโพงสนทนา ติดกันทางด้านซ้ายเป็นเซ็นเซอร์ปรับความสว่างหน้าจอ และเซ็นเซอร์ตรวจจับการใช้งาน เยื้องลงมาทางขวาเล็กน้อยเป็นกล้องวิดีโอคอล ถัดลงมาเป็นตัวอักษร "SAMSUNG" พาดอยู่กึ่งกลางเหนือจอแสดงผล

ส่วนของจอรุ่นนี้เป็นจอ AMOLED ขนาด 3.5 นิ้ว ความละเอียด WVGA 480 x 800 พิกเซล ซึ่งหน้าจอยังคงเป็น Resistive ที่รองรับการใช้งานปากกาสไตลัสอยู่เช่นเดิม ล่างหน้าจอประกอบไปด้วยปุ่มรับสาย ปุ่มเข้าสู่ My Menu ลักษณะครึ่งวงกลมอยู่ตรงกลาง และปุ่มวางสาย (กดค้างสำหรับเปิด-ปิดเครื่อง)



เมื่อสไลด์เครื่องออกมาทางด้านซ้าย จะพบกับคีย์บอร์ด QWERTY แบบ 4 แถว พร้อมปุ่มลูกศรควบคุม 4 ทิศทาง ในการใช้งานพิมพ์ภาษาอังกฤษ ถือว่าทำได้ดี ปุ่มไม่เล็กจนเกินไป การรับสัมผัสใช้แรงนิ้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



ด้านหลัง - ไม่แน่ใจว่าด้วยความที่ใช้ซีพียูตัวเดียวกับซัมซุงเจ็ทหรือไม่ ทำให้ฝาหลังของเครื่องรุ่นนี้ มีลายสีแดงเช่นเดียวกัน โดยมุมซ้ายบนเป็นที่อยู่ของกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED ที่มีข้อความการันตีความละเอียดอยู่อีกมุมหนึ่ง นอกจากนี้บริเวณมุมซ้ายล่างยังมีตัวอักษร "SAMSUNG" สกรีนอยู่เหนื่อช่องลำโพง



เปิดฝาหลังออกมาจะพบกับแบตเตอรี Li-ion ความจุ 1,500mAh ช่องใส่ซิมการ์ดจะอยู่ใต้แบตฯ ส่วนช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ด จะอยู่บริเวณแฟลช ทำให้ผู้ใช้สามารถถอดเปลี่ยนได้โดยไม่จำเป็นต้องถอดแบตเตอรี




ด้านซ้าย - แม้ว่าจะเป็นส่วนที่มีคีย์บอร์ดสไลด์ออกมา แต่ก็ยังประกอบไปด้วยปุ่มปรับระดับเสียง และที่สำคัญคือปุ่มเปลี่ยนโหมดการทำงาน โดยบนปุ่มมีตัวอักษร "W&L" แสดงถึงการใช้งานด้าน Work และ Lifestyle นั่นเอง

ด้านขวา - มีปุ่มล็อเครื่องอยู่ทางฝั่งบน ซึ่งบริเวณนี้จะมีรูสำหรับใช้ปากกาสไตลัสจิ้มเข้าไป ซอฟต์รีเซ็ตเครื่องได้ ส่วนฝั่งล่างมีปุ่มชัตเตอร์แบบ 2 จังหวะช่วยให้ใช้งานกล้องได้สะดวกขึ้น



ด้านบน - มีช่องสำหรับเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และพอร์ตไมโครยูเอสบีสำหรับชาร์จแบตฯ รวมไปถึงเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้บริเวณมุมขวาเครื่องเป็นที่อยู่ของปากกาสไตลัสอีกด้วย

ด้านล่าง - มีเพียงช่องไมโครโฟนสนทนาเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

บทสรุป

ด้วยความที่เป็นสมาร์ทโฟนสำหรับนักธุรกิจมากกว่า ในกลุ่มตลาดคอนซูเมอร์ทั่วไป ทำให้เครื่องรุ่นนี้ ออกมาเพื่อตอบสนองการใช้งานไลฟ์สไตล์ควบคู่ไปกับการทำงานที่หลากหลาย จากราคาเปิดตัวที่ประมาณ 17,900 บาท ถือว่าซัมซุงเล่นราคาออกมาได้ค่อนข้างแรง เนื่องจากเมื่อมองไปในตลาดปัจจุบันแทบไม่มีสมาร์ทโฟนที่เป็นแบบ FULL QWERTY ในระดับราคาต่ำกว่า 2 หมื่นเลย

ด้านการเชื่อมต่อ Omnia Pro B7610 รองรับการใช้งาน 3G ที่คลื่นความถี่ 900 / 2100 MHz ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 3.6 Mbps รองรับการเชื่อมต่อครบครันทั้งไวไฟ บลูทูธ AGPS ขณะเดียวกันทางด้านมัลติมีเดียก็มีมาให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นกล้อง 5 ล้านพิกเซลพร้อมไฟแฟลช LED ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. วิทยุFM รวมกับความสามารถของวินโดวส์ โมบาย 6.5 ทำให้เครื่องรุ่นนี้ ครบครันเลยทีเดียว

ฟีเจอร์เด่นอีกอย่างที่ซัมซุงใส่เข้ามาในเครื่องรุ่นนี้คือ DLNA ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับโทรทัศน์ที่รองรับระบบดังกล่าวผ่านไวไฟ เพื่อแสดงผลภาพหรือภาพยนตร์ได้ทันที ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจในอนาคต ส่วนการใช้งานด้านออแกไนซ์ เบราว์เซอร์ รับ-ส่งอีเมล ถือว่าทำงานได้ตามปกติ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ

การใช้งานเครื่องรุ่นนี้ถือว่าตอบสนองได้ค่อนข้างรวดเร็วเนื่องจากหน่วยประมวลผลที่ใช้มีความเร็วถึง 800MHz เรื่องเสียงสนทนาดูจะเป็นปัญหาสำคัญของเครื่องรุ่นนี้ เนื่องจากเสียงที่ได้ค่อนข้างเบา เมื่อเทียบกับหลายๆรุ่นในปัจจุบัน ระยะเวลาการใช้งานทั่วๆ ไป สามารถอยู่ได้ถึง 2 วัน แต่ในกรณีที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านไวไฟ และมีการใช้โทรศัพท์ค่อนข้างนาน อยู่ได้เพียง 1 วันเท่านั้น

ขอชม
- เครื่องตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็ว ประสิทธิภาพของเครื่องสมราคา
- หน้าจอขนาดใหญ่พร้อมอินเตอร์เฟส TouchWIZ แต่ไม่ลืมแถมปากกาสไตลัสมาให้ใช้งานด้วย

ขอติ
- หน้าจอ AMOLED ยังเป็นปัญหากับแสงแดด
- ความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อ 3G อยู่ที่ 3.6Mbps เท่านั้น

Company Related Links :
Samsung












กำลังโหลดความคิดเห็น