บางจากฯ ชี้แจงกรณี ปปง.ประกาศยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer) โดยยึดและอายัดทรัพย์สิน “เบน สมิท” รวมถึงหุ้นบางส่วนบางจากฯ ยืนยันบริษัทยึดมั่นการกำกับดูแลที่ดีและโปร่งใส ล่าสุดบอร์ดฯ ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจติดตามสถานการณ์และเสนอแนวทางการดำเนินงานในเบื้องต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการในระยะเร่งด่วนและระยะยาว
สืบเนื่องจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แถลงการยึดและอายัดทรัพย์สินเครือข่ายของนายเบน สมิธ รูปแบบของ "หลักทรัพย์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์" แต่ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อเฉพาะเจาะจงหุ้นที่ถูกอายัด
ก่อนหน้าเครือข่ายเบน สมิธเข้ามาถือหุ้นในกลุ่มบางจากฯ โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่านางสาวแคทรียา บีเวอร์ ภรรยาของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บางจากฯ
รายงานข่าวบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น ชี้แจงว่า ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้แถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดีเครือข่ายคณะบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสียหายทางการเงินจำนวนมาก และมีมาตรการยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหุ้นบางส่วนของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นั้น
บริษัทฯ ขอเรียนว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายนั้น และเป็นกระบวนการตามกฎหมายที่แยกจากการดำเนินธุรกิจและการบริหารงานของบริษัทฯ ซึ่งยังคงเป็นไปตามปกติและมีเสถียรภาพอย่างเต็มที่ บริษัทฯ ยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) ความโปร่งใส และมาตรฐาน ESG ในทุกกระบวนการมาโดยตลอด เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจทุกฝ่าย
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้ตั้งคณะกรรมการชุดเฉพาะกิจ ซึ่งได้ประเมินสถานการณ์และเสนอแนวทางการดำเนินงานในเบื้องต้นแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการที่เหมาะสมทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ซึ่งบริษัทฯ จะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้
วันนี้ (3 ธันวาคม 2568) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แถลงผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธุรกรรมในการยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer) โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 10,165 ล้านบาท
นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. และโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. เปิดเผยว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่กำหนดให้เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น “วาระแห่งชาติ” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเดินหน้าปฏิบัติการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น ทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด การบูรณาการข้อมูลเพื่อตัดเส้นทางการเงิน และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึง AI ในการตรวจจับเส้นทางเงินเพื่อสกัดก่อนเกิดเหตุ
ปปง.ได้สืบสวนขยายผลและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปราบปรามการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะภัยจากมิจฉาชีพที่มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชน (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) และการฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ
คณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 13/2568 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีสำคัญรวม 4 คดีหลัก และมีการยึดทรัพย์สินเพิ่มเติมในคดีหนึ่ง ดังนี้ 1. รายคดี นายเฉิน จื้อ กับพวก (Prince Holding Group) เครือข่ายนี้เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล โดยมีฐานใหญ่อยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชา
การฟอกเงินใช้วิธีเปลี่ยนสภาพระหว่างเงินตราในประเทศกับสินทรัพย์ดิจิทัล มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สิน จำนวน 102 รายการ (เช่น ที่ดิน เงินสด สินค้าแบรนด์เนม และเครื่องประดับ) รวมมูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท
2. รายคดีนายก๊ก อาน (MR.KOK AN) กับพวก เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและฟอกเงินที่มีศูนย์ปฏิบัติการในกัมพูชา เช่น อาคาร 25 ชั้น, อาคาร 18 ชั้น, อาคาร Hiso และอาคาร Crown Casino ขบวนการนี้มีการใช้บัญชีม้าในการทำธุรกรรม และมีการรับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเพื่อนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดมาซื้อทรัพย์สินในประเทศไทย มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 90 รายการ (เช่น ที่ดิน และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท
3. รายคดี นางสาวแตงไทยฯ กับพวก เกี่ยวข้องกับกรณีการหลอกลวงผู้เสียหายโดยอ้างว่าผู้เสียหายต้องถูกตรวจสอบ และใช้อุบายหลอกให้โอนเงินเพื่อ "ยืนยันความบริสุทธิ์" นางสาวแตงไทยฯ ยังเชื่อมโยงกับ นายยิม เลียก ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดทายาทเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา ซึ่งเป็นเครือข่ายสแกมเมอร์
4. รายคดี นายเบน สมิธ (MR. SMITH BEN) กับพวก กรณีนี้เป็นพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน มีการโอนเงินไปมาระหว่างบริษัทต่างๆ ในประเทศและต่างประเทศ และใช้บริษัทในการถือครองทรัพย์สินแทนตนเอง คณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 66 รายการ (เช่น ที่ดิน ห้องชุด หลักทรัพย์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 9,279 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในรายคดีของนายเบน สมิธ เลขาธิการ ปปง.ได้ใช้อำนาจสั่งยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน โดยยึดยานพาหนะรวม 3 รายการ ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ ZEEKR รุ่น ZEEKR 009, รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ FERRARI รุ่น 488 GTB, และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ PORSCHE รุ่น CAYENNE S E-HYBRID COUPE ซึ่งทรัพย์สินทั้งสามรายการอยู่ระหว่างการประเมินราคา
5. รายคดี นายเอื้ออังกูรฯ กับพวก เกี่ยวข้องกับกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนให้ลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max เส้นทางการเงินพบว่ามีการนำเงินที่ได้จากการหลอกลงทุนไปเปลี่ยนแปลงเป็นเหรียญสกุลเงินดิจิทัล และโอนไปยังกระเป๋าดิจิทัล เชื่อมโยงไปยังเครือข่ายของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติสัญชาติกัมพูชา มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 31 รายการ (เงินสด และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท
อนึ่ง คำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นคำสั่งชั่วคราวที่มีกำหนดไม่เกินเก้าสิบวัน หากผู้ถูกยึดหรือผู้มีส่วนได้เสียประสงค์จะขอให้มีการเพิกถอนคำสั่ง สามารถยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อเลขาธิการ ปปง.ภายในสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง


