xs
xsm
sm
md
lg

ธพส. ขับเคลื่อน “เมืองคาร์บอนต่ำที่ทำงานร่วมกับธรรมชาติ” สู่ต้นแบบ “ศูนย์ราชการแห่งศตวรรษที่ 21”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เดินหน้าโครงการพัฒนาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ แจ้งวัฒนะ พื้นที่กว่า 378 ไร่ ภายใต้แนวคิด “A Low-Carbon City Working with Nature” หรือ “เมืองคาร์บอนต่ำที่ทำงานร่วมกับธรรมชาติ” พร้อมเปิดพื้นที่สาธารณะนำร่อง “สวนลอยฟ้า A-D” จัตุรัสลอยฟ้า หน้าบ้านของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ

ในขณะที่หลายเมืองทั่วโลกเร่งหาวิธีบรรเทาผลกระทบของภาวะโลกรวน เมืองหลวงของไทยกลับเริ่มต้นจาก “ใจกลางระบบราชการ” เพื่อพลิกวิธีคิดการพัฒนาเมืองจากฐานนโยบายระดับรัฐ การเปลี่ยนผ่านของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ  (Government Complex Bangkok) ถนนแจ้งวัฒนะ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกำหนดอนาคต “เมืองยั่งยืนของประเทศไทย” 

เมืองราชการที่กลายเป็นระบบนิเวศ
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเปิดใช้งานมากว่าสองทศวรรษ เป็นที่ตั้งของหน่วยงานภาครัฐกว่า 50 หน่วยงาน มีผู้ปฏิบัติงานและประชาชนผู้มาติดต่อ กว่า 40,000 คนต่อวัน ปัญหาการจราจรหนาแน่น พื้นคอนกรีตสะสมความร้อน และขาดพื้นที่สีเขียว ทำให้พื้นที่แห่งนี้สะท้อนภาพ “เมืองคอนกรีต” อย่างชัดเจน ธพส. จึงเริ่มโครงการปรับปรุงครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี โดยมุ่ง “เปลี่ยนระบบการทำงานของเมือง” มากกว่าการปรับปรุงอาคาร


ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) กล่าวว่า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ไม่ได้เป็นเพียงอาคารสำนักงานของหน่วยราชการอีกต่อไป แต่เป็นระบบนิเวศเมือง (urban ecosystem) ที่ต้องหายใจ มีชีวิต นับเป็นภารกิจสำคัญในการ “ร่างสัญญาใหม่ระหว่าง โครงการที่พัฒนาโดยรัฐกับธรรมชาติ” โครงการนี้ดำเนินงานภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ ศูนย์ราชการฯ ที่ฟื้นคืนธรรมชาติ หรือ Regenerative Government Complex

กลยุทธ์ที่ 1 จากรถยนต์สู่คนเดิน: จุดเปลี่ยนวัฒนธรรมเมือง
หัวใจของกลยุทธ์เริ่มจากแนวคิด “From Cars to Feet” มุ่งให้คนเดินและใช้ระบบขนส่งไฟฟ้ามากขึ้น และเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายการจราจรจากระบบขนส่งสาธารณะสู่ระบบ EV Shuttle Bus ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ จึงเกิดโครงการสร้าง Skywalk ยาว 205 เมตร เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้าสู่ศูนย์ราชการ พร้อมบริการ รถมินิบัสไฟฟ้า (EV Shuttle Bus) ลดมลพิษและลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว พื้นที่จราจรถูกออกแบบใหม่เป็นทางเดิน โครงข่ายเรือนยอดต้นไม้ (Canopy Corridor Network) สวนผสาน B-C เปลี่ยนจุดติดขัดเป็น หัวใจหลักเชื่อมโยงชุมชนราชการ ที่คน รถ และธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้ เพราะในศตวรรษที่ 21 พื้นที่ราชการต้องกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของ ออกแบบทุกตารางเมตรให้มนุษย์เดินได้ หายใจได้ และมีส่วนร่วมได้

กลยุทธ์ที่ 2 จากเทาสู่เขียว: ปฏิบัติการคืนชีวิตให้โครงสร้างเมือง
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือ “From Grey to Green” ฟื้นระบบนิเวศผ่านสถาปัตยกรรม ปรับพื้นที่ดาดฟ้า อาคารจอดรถ A ขนาด 8,000 ตารางเมตร และเชื่อมต่อกับอาคารจอดรถ D จัตุรัสลอยฟ้า A-D หน้าบ้านใหม่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ให้เป็นลานกิจกรรมกลางแจ้ง อาคารจอดรถเดิมถูกพัฒนาให้กลายเป็น ฟองน้ำยักษ์ (Sponge Parking) ที่กักเก็บและนำน้ำฝนกลับมาใช้ซ้ำแบบ Zero Runoff Discharge นอกจากนี้ยังพัฒนาพื้นที่บ่อน้ำเดิม 14 ไร่ให้กลายเป็น B-Park อุทยานลอยน้ำอาคาร B (B-Park Urban Floating Oasis) ด้วยพันธุ์ไม้พื้นถิ่น ช่วยลดอุณหภูมิรอบพื้นที่ได้สูงถึง 9°C แนวคิดนี้สะท้อนการออกแบบเชิงระบบนิเวศที่เน้น “การอยู่ร่วม” มากกว่าการแยกส่วน


กลยุทธ์ที่ 3 จากคอนกรีตสู่ความหลากหลายทางชีวภาพ
พื้นที่กว่า 138 ไร่รวมโครงข่ายถนน ถูกออกแบบเป็น Cooling Biodiversity Pathways ปลูกไม้พื้นถิ่นกว่า 5,500 ต้น ใช้ระบบร่องน้ำธรรมชาติ (Bioswale) และสวนน้ำฝน (Rain Garden) เพื่อจัดการน้ำและลดมลพิษในอากาศ พื้นที่นี้ยังเป็นแหล่งอาศัยของนก ผีเสื้อ และแมลงผสมเกสร แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของ World Economic Forum เรื่อง Nature positive city (2024) ที่ชี้ว่าการฟื้นฟูระบบนิเวศเมืองช่วยลดอุณหภูมิได้

กลยุทธ์ที่ 4 จากผู้บริโภคพลังงานสู่ผู้ผลิตพลังงานสะอาด
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ มุ่งสู่การเป็นเมืองพลังงานสะอาดต้นแบบของภาครัฐ โดยเริ่มติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ขยายครอบคลุม 10 อาคาร กำลังผลิตรวม 4,712 กิโลวัตต์ สร้างไฟฟ้ากว่า 3.9 ล้านหน่วยต่อปี ประหยัดได้กว่า 16 ล้านบาท พร้อมต่อยอดสู่ระบบกักเก็บพลังงานแบบผสมผสานทั้งแบตเตอรี่และไฮโดรเจน แปรพลังงานส่วนเกินจากแสงอาทิตย์เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในยามค่ำคืน ส่งผลให้ อาคารธนพิพัฒน์ กลายเป็นต้นแบบ Net Zero Energy Building แห่งแรกของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน DGNB ระดับ Platinum และ EDGE Advanced ปี พ.ศ. 2566 ตอกย้ำบทบาทของ ธพส. ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด สอดคล้องกับแนวคิด BCG Model และเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศไทยภายในปี ค.ศ. 2050


“ธพส. กำลังทดสอบสมการใหม่ของเมืองไทย ว่าระบบราชการจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างไรโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพการทำงาน เป้าหมายสำคัญ คือ พิสูจน์ว่า ‘เมืองคาร์บอนต่ำ’ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเอกชน แต่เริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดของรัฐ จากเจ้าของอาคาร สู่ผู้ออกแบบระบบนิเวศของสังคม” ดร.นาฬิกอติภัค กล่าวสรุป

ปัจจุบันโครงการพัฒนาพื้นที่สีเขียว ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ดำเนินไปกว่า 89% และเมื่อแล้วเสร็จ จะทำให้พื้นที่สีเขียวเพิ่มเป็น 4 เท่า หรือจาก 36 ไร่ เป็นกว่า 138 ไร่ เพราะได้เลือกใช้พื้นซึมน้ำแทนคอนกรีต จึงช่วยลดความร้อนและเพิ่มการซึมซับน้ำฝน นับจากนี้ไปศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ จะเป็นพิมพ์เขียวของเมือง Net Zero ที่สามารถต่อยอดไปยังพื้นที่ราชการทั่วประเทศ เพราะ “สิ่งที่ ธพส. ทำไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้เพิ่ม แต่คือการปลูกอนาคตให้กับประเทศไทย” ดร. นาฬิกอติภัค กล่าว.


กำลังโหลดความคิดเห็น