สมาคมแผงวงจรพิมพ์ไทย ร่วมกับ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ศูนย์ Automation Park และสมาคมการค้าไทยเซี่ยงไฮ้ จัดงาน THPCA Dinner Talk 2025 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว ภายใต้หัวข้อ “AI Assembly Readiness: Empowering Thailand’s EMS & PCB Industry” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติด้านอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และ Photonics ร่วมวิเคราะห์ทิศทางเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมทั่วโลก ตลอดจนโอกาสที่ประเทศไทยต้องรีบคว้าในยุค AI และ EV
เวทีเสวนาครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ผู้ผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ผู้ประกอบการเทคโนโลยี ผู้ให้บริการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EMS) และผู้กำหนดนโยบายกว่า 200 ราย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยกำลังได้รับโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการย้ายฐานการผลิตจากหลายประเทศในเอเชีย แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า หากไทยยังยืนอยู่แค่ปลายน้ำ โอกาสนี้จะไม่สามารถพัฒนาเป็น “โอกาสทอง” ได้
ดร. อรุณฉัตร ฉัตรชัยการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Percevals เปิดเผยว่า การลงทุนที่ไหลเข้าประเทศไทยในปีนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ใช่เพราะไทยมีเทคโนโลยีหรือขีดความสามารถระดับสูงเพียงพอ จึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “โอกาสทอง” อย่างแท้จริง หากผู้ประกอบการไทยยังทำเพียงงานผลิต หรือหวังพึ่งคำสั่งซื้อจากซัพพลายเชนระดับโลกโดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่มที่อุตสาหกรรมต้นน้ำ
ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งปรับแนวคิดและความเชื่อพื้นฐานว่า “คนไทยทำได้” เดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำอย่างการออกแบบชิปและระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของมูลค่าทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงการประกอบหรือผลิตตามแบบของต่างชาติ ตัวอย่างสำคัญเช่น ไต้หวันใช้เวลาพัฒนากว่า 40 ปี มาเลเซียใช้เวลา 20–30 ปี และเวียดนามก็เริ่มสร้างความสามารถด้านการออกแบบแล้ว ขณะที่ไทยยังไม่ขยับอย่างเป็นระบบ
หากไทยสามารถสร้างบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีของตนเองได้ แม้ใช้บุคลากรไม่มาก แต่จะเสริม GDP ประเทศได้มากเทียบเท่าบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ปตท. หรือ Central นี่คือทิศทางที่ไทยต้องสร้าง หากหวังยกระดับความสามารถการแข่งขันในระยะยาว
ด้าน Ms. E. Jan Vardaman ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจาก TechSearch International ได้นำเสนอภาพรวมเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Packaging) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของยุค AI โดยอธิบายว่า ความซับซ้อนของระบบ AI ทำให้เมนบอร์ดหนึ่งชุดต้องใช้ตัวเก็บประจุถึง 200,000 ชิ้น เพิ่มขึ้นจากเมนบอร์ดทั่วไปถึงร้อยเท่า ขณะที่แพ็กเกจชิป AI มีราคาต่อหน่วยสูงถึง 30,000–40,000 ดอลลาร์ แม้จำนวนที่ผลิตจะไม่มาก แต่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก
แต่ปัญหาสำคัญคือ การใช้พลังงานของ Data Center ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผลักดันให้เกิดการพัฒนา Co-packaged Optics ที่ช่วยลดการใช้พลังงานได้หลายเท่าตัว และเป็นโอกาสของไทย เนื่องจากไทยมีความพร้อมด้านการประกอบอุปกรณ์ Optoelectronics และอุตสาหกรรมใยแก้วนำแสงอยู่แล้ว หากได้รับการสนับสนุนด้านภาษี บุคลากร และการวิจัยจากรัฐบาล ก็สามารถต่อยอดเข้าสู่เทคโนโลยีชั้นสูงอย่าง RDL Interposer หรือ Fan-Out Packaging ได้ในอนาคต
อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยแสง เทคโนโลยีแห่งยุค AI ดร.ปรอง กองทรัพย์โต ผู้อำนวยการอาวุโส และ Chief of Staff& External Affairs จาก Lumentum International (Thailand) อธิบายว่า Photonics จะเป็นเทคโนโลยีหลักของระบบสื่อสารความเร็วสูงในยุค AI เนื่องจากแสงสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่าระบบไฟฟ้าแบบเดิม โดย Data Center ขนาดใหญ่ในปัจจุบันใช้พลังงานสูงถึง 150 เมกะวัตต์ต่อแห่ง ทำให้ผู้ประกอบการทั่วโลกกำลังเร่งย้ายจากการส่งสัญญาณด้วยไฟฟ้าไปสู่ Optical Network อย่างเต็มรูปแบบ
ห่วงโซ่คุณค่าของ Photonics นั้นยาวและครอบคลุมตั้งแต่ระดับชิปไปจนถึงการออกแบบระบบ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ EMS ไทยที่ต้องการขยับจากการผลิตทั่วไปไปสู่การผลิตเชิงเทคนิคที่มีความแม่นยำสูง โดยปัจจุบันมีซัพพลายเออร์ต่างชาติมากกว่า 20 รายเริ่มพิจารณาเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยจากแรงผลักด้านภูมิรัฐศาสตร์
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมอัตโนมัติ การขยับจาก Automation Transformation (AX) ไปสู่การใช้ AI ในโรงงาน นายปฤณวัชร ปานสิงห์ ผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า AI จะทำงานได้จริงเมื่อโรงงานมีข้อมูลคุณภาพสูง ซึ่งต้องอาศัยระบบอัตโนมัติที่ราบรื่น Mitsubishi กำลังเร่งสร้าง Ecosystem ภาคการผลิต โดยร่วมลงทุนพัฒนา EC Automation Park มูลค่าเกือบ 500 ล้านบาท เพื่อเสริมทักษะบุคลากร ขณะเดียวกันก็เน้นความสำคัญเรื่อง Cyber Security ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่
ด้านนโยบายรัฐ นางสาวศุธาศินี สมิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เน้นย้ำว่า การผนวก AI เข้ากับการผลิตไม่ใช่ “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่เป็น “ข้อกำหนดขั้นพื้นฐาน” ในการแข่งขันระดับโลก บีโอไอ จึงเดินหน้าผลักดัน Roadmap เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ โดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อน การผลิตความแม่นยำสูง และการบูรณาการ AI พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ที่ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี สำหรับการผลิต PCB ขั้นสูง EMS แม่นยำสูง และเซมิคอนดักเตอร์แพ็กเกจจิ้ง
ปิดท้ายงาน นายเสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกและเลขานุการสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย กล่าวว่า การรวมตัวในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมุมมองใหม่ กระตุ้นความร่วมมือ และผลักดันให้ไทยก้าวเข้าสู่การผลิตขั้นสูงในยุค AI-Era Production พร้อมเชื่อมั่นว่าการเสวนาจะต่อยอดไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้ในอนาคต
บทสรุปจากเวทีครั้งนี้สะท้อนชัดว่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยต้อง “คิดใหม่และทำใหม่” เพราะการเติบโตในยุค AI ไม่ได้อยู่ที่จำนวนชิ้นส่วนที่ผลิตมากขึ้น แต่อยู่ที่การกล้าที่จะออกแบบ “พิมพ์เขียวใหม่” ตั้งแต่ต้นน้ำ เหมือนการสร้างบ้านที่ไม่ได้เริ่มจากการซื้ออิฐและปูน แต่เริ่มจากสถาปนิกที่ออกแบบโครงสร้างทั้งหลังอย่างครบวงจร.


