xs
xsm
sm
md
lg

กดปุ่มเริ่มสร้างแล้ว!รันเวย์ที่ 2 "อู่ตะเภา"1.3 หมื่นล้านบาท ยกเว้นจุดอุโมงค์ไฮสปีด" รอ ซี.พี.สร้าง ใน 24 เดือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กองทัพเรือ กดปุ่มเริ่มสร้าง ทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินอู่ตะเภาลุย 36 เดือน กำหนดเสร็จ 29 ต.ค. 71 ส่วนช่วงมีอุโมงค์ไฮสปีด ลอด ให้เวลา ซี.พี. 24 เดือน เร่งสร้าง หวัง ยกระดับ “เมืองการบินภาคตะวันออก” หนุนเศรษฐกิจไทย–EEC สู่ศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค

อู่ตะเภา, ระยอง – วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 – กองทัพเรือ ในฐานะหน่วยเจ้าของโครงการ ได้จัดพิธีเริ่มงานก่อสร้าง (Groundbreaking Ceremony) โครงการทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา โดยมี พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธาน พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ผู้บริหารจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ พื้นที่ Isolated Pad สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยองพิธีดังกล่าวถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ของการเริ่มต้นงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลัก ในการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก เพื่อผลักดันสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาสู่การเป็น ศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) แห่งใหม่ของไทยและภูมิภาคอาเซียน

นายธาริศร์ อิสสระยั่งยืน รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) เปิดเผยภายหลังพิธีว่า โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 (Runway 2) และทางขับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างกับบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 เนื่องจากเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ 13,142,868,605.29 บาทจากราคากลาง 15,200,123,971.91 บาท กำหนดเริ่มงานในวันนี้ (28 พ.ย. 2568) มีระยะเวลาก่อสร้าง 1,095 วันหรือประมาณ 36 เดือน (ก่อสร้าง 30 เดือน ทดสอบรันเวย์ 6 เดือน) โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 29 ต.ค. 2571


สำหรับรายละเอียดของเนื้องาน ก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2 สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ประกอบด้วย ทางวิ่งที่ 2 (Runway 36R/18L) ทางวิ่งที่ 2 (Second Runway) หมายเลข 36R/18L: ความยาว 3,505 เมตร ความกว้าง 60 เมตร และทางขับ (Taxiways) และทางขับออกฉับพลัน (Rapid Exit Taxiways) ความยาวรวม 36,820 เมตร ความกว้าง 23 เมตร รวมถึงระบบประกอบและโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วยงานปรับปรุงคุณภาพชั้นดิน ระบบระบายน้ำ ระบบไฟฟ้าสนามบิน อาคารควบคุม และระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง

สำหรับส่วนของทางวิ่งที่ 2 ช่วงที่มีอุโมงค์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินลอดอยู่ด้านใต้แล้วเลี้ยวขวาไปเชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก นั้น เนื่องจากโครงการรถไฟความเร็วสูงยังไม่เริ่มต้นก่อสร้าง ดังนั้น จะมีการเว้นพื้นที่บางส่วนสำหรับรอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นระยะเวลา 24 เดือน โดยจะเริ่มนับตั้งแต่วันนี้ (28 พ.ย. 2568) โดยทางบริษัทเอเชีย เอราวัน (ซี.พี.) ในฐานะผู้รับสัมปทานของโครงการรถไฟความเร็วสูงจะต้องก่อสร้าง หากการก่อสร้างเสร็จตามแผน ทางอิตาเลียนไทยจะมีเวลาอีก 12 เดือน ในการก่อสร้างส่วนที่กันไว้ให้เสร็จ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับที่ปรึกษาควบคุมงานของโครงการนี้ คือกลุ่มกิจการร่วมค้าที่ประกอบด้วย DOHWA Engineering Co., Ltd. จากประเทศเกาหลีใต้ ร่วมกับ Consulting Engineers Group Ltd. จากประเทศอินเดีย, บมจ.โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิสและบจ.พีพีเอสวันเวิร์ค ซึ่ง 2 บริษัทหลังมาจากประเทศไทย โดยมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 194,757,062.30 บาท ซึ่งมีการประกาศตัวผู้ชนะโครงการเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ระยะเวลาดำเนินการ 37 เดือน

โดยประธานในพิธีได้ประกอบพิธีกดปุ่มปล่อยตุ้ม ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของปฐมฤกษ์การเริ่มต้นก่อสร้างอย่างเป็นทางการ โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เป็นหนึ่งในโครงการที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเมื่อ 30 ตุลาคม 2561 ครม.อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ในกรอบวงเงินงบประมาณ 17,768 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างทางวิ่ง และทางขับที่ 2 สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา


ต่อมาเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินของโครงการฯ จากเดิมใช้เงินงบประมาณ เป็นใช้เงินกู้ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม วงเงิน 16,210 ล้านบาท และอนุมัติเปลี่ยนแปลงหน่วยดำเนินโครงการ (Implementing Agency) จากเดิมสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นให้กองทัพเรือเป็นหน่วยดำเนินโครงการภายใต้แผนบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ดังนั้นโครงการนี้มิใช่เพียงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นใหม่แต่คือการวางรากฐานสำคัญให้กับอนาคตของประเทศ เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเป็นการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ ของภูมิภาคอย่างเต็มภาคภูมิ


กำลังโหลดความคิดเห็น