xs
xsm
sm
md
lg

EEC คุย UTA ลงตัวลดไซด์”อู่ตะเภา”เริ่ม 3 ล้านคน/ปี -ซี.พี.เห็นแย้งอัยการแก้สัญญา”ไฮสปีด”ปมแบงก์การันตี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



EEC คุย UTA ลงตัว รับข้อเสนอลดไซด์”อู่ตะเภา”เฟส1 เริ่มที่ผู้โดยสาร 3 ล้านคน/ปี สอดคล้องสถานการณ์หลังเกิดโควิด แลกตัดเงื่อนไขรอไฮสปีด เตรียมชงบอร์ดกพอ.และครม. ส่วน ซี.พี.เห็นแย้งอัยการสูงสุด”รอรฟท.หารือหวั่นวางแบงก์การันตีซ้ำซ้อน

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) เปิดเผยว่า คืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือ (ทร.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (บมจ.การบินกรุงเทพ หรือ บางกอกแอร์เวย์ส (BA) , บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ( BTS) และบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นหรือ STEC ) ร่วมทุนกัน ซึ่ง เอกชนส่งหนังสือถึง EEC อาจจะขอยกเลิกสัญญาจากความล่าช้าที่ดำเนินการมากว่า 5 ปี หลังจากลงนามในสัญญาเมื่อปี 2563 พร้อมกันนี้ได้มีการเสนอขอปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาใหม่ด้วย

โดย จากการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ EEC ยอมรับเงื่อนไขของเอกชนที่จะปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในฟสแรก จากเดิมที่ 12 ล้านคนต่อปี มาเริ่มต้นที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และการพัฒนาขยายศัยกภาพสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)​หรือ ทอท. รวมถึงปัจจัยอื่นๆที่มากระทบต่อปริมาณผู้โดยสาร ประกอบกับสนามบินอู่ตะเภาในปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารเพียง 4 แสนคนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังใหม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2-3 ล้านคนต่อปี จึงเห็นว่า เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งหากเปิดบริการแล้วผู้โดยสารเติบโตเร็ว ถึง70% ของขีดความสามารถก็สามารถพัฒนาขยายการรองรับเพิ่มเป็น 6 ล้านคนต่อปี 8 ล้านคนต่อปี ได้ และสุดท้ายจะพัฒนาไปถึง 60 ล้านคนต่อปีตามระยะเวลาสัญญา 50 ปี

ทั้งนี้ แลกกับการที่เอกชนจะต้องสละสิทธิ์เงื่อนไขเริ่มโครงการ (NTP) โดยไม่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อีกทั้งโครงการทางวิ่งที่ 2 และทางขับสนามบินอู่ตะเภา ได้เริ่มต้นก่อสร้างแล้ว ซึ่งตามสัญญาโครงการ ตัวอาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะต้องเริ่มงานไปพร้อมกันกับทางวิ่งด้วย จึงเห็นพ้องกันที่จะเริ่มต้นโครงการสักที

สำหรับขั้นตอนต่อไป ทาง EEC จะต้องเสนอต่อไปยังคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดกพอ.หรือบอร์ด EEC) ที่มีนายพิพัฒน์​ รัชกิจประการ รองนายกฯและรมว.คมนาคม เป็นประธาน เพื่อรับทราบเงื่อนไขใหม่ดังกล่าวร่วมกัน จากนั้นจะเสนอไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ ซึ่งหลังจากที่ประชุมทั้งสองรับทราบ ก็จะต้องปรับแก้สัญญาต่อไปด้วย


@ซี.พี.เห็นแย้ง”อัยการสูงสุด”รอรฟท.หารือหวั่นวางแบงก์การันตีซ้ำซ้อน

ส่วนความคืบหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ที่มีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเจ้าของโครงการและมี บจ.เอเชีย เอรา วัน (ซี.พี.) เป็นผู้รับสัมปทาน ระยะเวลา 50 ปี ที่ล่าสุด นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับ การแก้ไขสัญญา โดยจะนัดหารือผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาหารือ นั้น ในส่วนของ EEC ยังไม่ได้รับการประสานหารือ แต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าในเร็วๆนี้

สำหรับความคืบหน้าในกระบวนการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯนั้น หลังจากที่สำนักงานอัยการสูงสุด ตรวจสอบร่างสัญญาและได้มีความเห็นกลับมา 18 ประเด็น เบื้องต้น ยังมีประเด็นที่อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน ซึ่งจะต้องทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง คือวางหลักประกันสัญญาที่ทางอัยการสูงสุดมีข้อแนะนำตามข้อ 7.1 ว่า “รฟท. จึงควรพิจารณาทบทวนการแก้ไขสัญญาดังกล่าว โดยกําหนดให้มีหลักประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงตามมูลค่าของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ งานระบบรถไฟ และขบวนรถไฟ และกําหนดให้ดํารงมูลค่าของหลักประกัน ดังกล่าวไว้จนกว่าครบระยะเวลา 2 ปี นับจากวันที่ รฟท. ได้ออกหนังสือรับรองการเริ่มให้บริการเดินรถทั้งระบบ..“ นั้น

เรื่องนี้ทางซี.พี. ต้องการชี้แจงให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับทราบ ว่า ในการแก้ไขสัญญาฯ ได้มีการกำหนดให้ ซี.พี.วางหลักประกันครอบคลุมทั้งหมดแล้ว การแนะนำให้วางหลักประกันดังกล่าว อาจจะเป็นการวางหลักประกันซ้ำซ้อนได้ จึงได้ส่งหนังสือถึง รฟท. เมื่อเร็วๆนี้ และรฟท.อยู่ระหว่าง เตรียมส่งหนังสือดังกล่าวให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป

“ตอนนี้ หนังสือของซี.พี.ยังอยู่ที่ รฟท. ขณะที่เกิดกรณีที่นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯรฟท.ยื่นลาออกจากตำแหน่ง จึงอาจจะต้องรอการแต่งตั้งรักษาการผู้ว่าฯรฟท.ก่อน จึงจะสามารถลงนามเพื่อส่งหนังสือดังกล่าวได้”แหล่งข่าวกล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น