xs
xsm
sm
md
lg

“แพลตฟอร์มซื้อ-ขายออนไลน์” จุดเปลี่ยนประเทศไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาด อี-คอมเมิร์ซ ในไทยระอุ เผย มูลค่าซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ 10 เดือนแรกของปี ทะลุ 8 แสนล้านบาท ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ หลังเกิดแนวคิดใหม่ “เศรษฐกิจแห่งความใจร้อน” หรือ Impatience Economy

นายอุดมธิปก ไพรเกษตร อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (THECA) หรือสมาคมอี-คอมเมิร์ซ เปิดเผยว่า ปัจจุบันความนิยมของคนไทยในการเปิดร้านค้าจำหน่ายสินค้าบน “แพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ” รวมทั้งการซื้อสินค้าออนไลน์ของคนไทยว่า มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลทำให้จำนวนผู้ซื้อที่มีการรายงานกันว่า มีมากกว่า 16 ล้านคน และมีสินค้ามากกว่า 300 ล้านรายการวางจำหน่ายอยู่บนร้านค้าออนไลน์ในประเทศไทยนั้น เป็นตัวเลขที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง แต่ที่น่าสนในก็คือ การเข้ามาของธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าขายของประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง แต่การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ คนไทย ทั้งในฝั่งขายต้องทำความเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบ กติกา ตลอดจนข้อจำกัด และกลยุทธทางด้านการแข่งขันต่าง ๆ ให้ชัดเจน ขณะที่ผู้ซื้อเองก็ต้องรู้เท่าทัน และต้องสามารถปกป้องตนเองจากมิจฉาชีพ ที่อาจแฝงตัวเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้ได้ด้วย

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ว่า ธุรกิจ B2C e-Commerce สำหรับประเทศไทยในปีนี้ จะเติบโตได้ 6.4% โดยมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 7.7 แสนล้านบาท

แต่สำหรับผู้คนในแวดวง อี-คอมเมิร์ซ ระบุว่า มูลค่าของธุรกิจนี้ สำหรับปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท และตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านบาท ในปี พ.ศ.2573 โดยแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับคนไทย ยังคงเป็น Shopee, Lazada, และ TikTok
 
ส่วนพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของคนไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปรจะวันไปแล้ว แต่ก็ยังมีช่วงที่ที่สนใจสั่งซื้อเป็นกรณีพิเศษคือ ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี คือ เดือนตุลาคม - ธันวาคม โดยในช่วงดังดังกล่าว สัดส่วนการซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 25-30% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งปี ดังนั้นจึงสามารถประเมินได้ว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) คนไทยซื้อ-ขายสินค้าออกไลน์ ผ่านแพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ ที่ร้อยละ 70 - ร้อยละ 75 จากมูลค่ารวมที่ 1.07 ล้านล้านบาท จึงน่าจะมีตัวเลขของมูลค่าการซื้อ-ขายที่ 749,000 - 802,500 ล้านบาท


นอกจากนี้ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจต่าง ๆ ระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าร้อยละ 67 ที่ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น ส่วนใหญ่มักได้รับแรงจูงใจจากเนื้อหาตามโซเชียลมีเดีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การซื้อ-ขายสินค้าได้ย้ายไปอยู่ในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต และ อี-คอมเมิร์ซ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างการค้าของประเทศไทยจากตลาดค้าปลีกแบบดั้งเดิมไปสู่ตลาดดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็ว และเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยอาศัยปัจจัยหลักจากการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจแห่งความใจร้อน (Impatience Economy) ของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม แม้ “แพลตฟอร์ม Marketplace”อย่าง Shopee และ Lazada ยังคงเป็นผู้ครองตลาด ด้วยส่วนแบ่งรวมกันที่ ร้อยละ 50 แต่ทั้ง 2 ราย ก็ยังต้องถูกท้าทายอย่างหนักจากการแข่งขันด้านราคา และความเร็วในการจัดส่งสินค้า ดังนั้นการอยู่ให้รอดของผู้ค้าออนไลน์นั้น นอกจากสามารถแข่งขันทางด้านราคา และความเร็วในการจัดส่งสินค้าได้แล้ว การปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค ยังกลายเป็นกุญแจสำคัญในการนำไปสู่ความสำเร็จในตลาดนี้อีกด้วย


ทั้งนี้ การเติบโตของแพลตฟอร์มการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ หรือ อี-คอมเมิร์ซ ที่สามารถดันมูลค่าการค้าได้ให้สูงขึ้นเกิน 1 ล้านล้านบาทได้แล้ว ธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ ก็ยังเข้ามาเปลี่ยนประเทศไทยอีกด้วย คือ

เปลี่ยนที่ 1 คือ เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) ให้เกิดความคุ้นชินกับเศรษฐกิจดิจิทัล คือ อี-คอมเมิร์ซ ทำให้คนไทยทุกกลุ่มทุกวัย รวมทั้งผู้สูงวัย (Baby Boomer) และประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงและคุ้นชินกับการทำธุรกรรมออนไลน์ การซื้อของออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และคนไทยทุกคนสามารถตัดสินใจซื้อ และได้รับสินค้าอย่างรวดเร็ว

เปลี่ยนที่ 2 คือ พลิกโฉมธุรกิจและการแข่งขัน (Business Transformation) ได้แก่ การปลดล็อก SMEs ให้สามารถเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่ได้ ด้วย อี-คอมเมิร์ซ ซึ่งถือว่า ตลอดออนไลน์ ได้ทลายข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) ในต่างจังหวัด สามารถขายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ และยังสามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ต้นทุนในการเปิดร้านค้าทางกายภาพ (off line) ลดลง พร้อมทั้งสามารถจัดส่งสินค้าได้ภายในวันเดียว (Same Day Delivery) และลูกค้าสามารถซื้อได้จากทุกช่องทาง (Omnichannel) กระทั่งการซื้อ-ขายออนไลน์ กลายเป็นมาตรฐานไม่ใช่เป็นแค่ทางเลือกอีกต่อไป

เปลี่ยนที่ 3 คือ เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ (Infrastructure Development) เข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ยุคใหม่ ที่ความต้องการความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า พร้อม ๆ กับประสิทธิภาพในระดับสูง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีในธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้า (Warehouse Management) ทั่วประเทศ อย่างมากมายเพื่อรองรับการบริหารและจัดการ การจัดส่งพัสดุจำนวนมากในเวลาที่จำกัด

เปลี่ยนที่ 4 คือ เปลี่ยนระบบการชำระเงินจากการโอนจ่ายหน้าร้านค้าแบบ off line มาเป็นการชำระในระบบดิจิทัล หรือ e-Payment เช่น การโอนค้าสินค้าผ่าน Mobile Banking, e-Wallet, และ QR Code มากขึ้นอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดสังคมไร้เงินสดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น