"พิพัฒน์" ถก สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ แก้ปัญหารถติดในท่าเรือแหลมฉบัง เหตุทำต้นทุนโลจิสติกส์พุ่ง เร่งใช้ระบบ Truck Queue 100% ในปีนี้ พัฒนาลานจอดรถบรรทุกพื้นที่ 70 ไร่ และ 22 ไร่ ลุยพัฒนาโลจิสติกส์เพิ่มสัดส่วนขนส่งทางรางจาก ICD ลาดกระบังเข้าท่าเรือ
เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานกรรมการบริหารสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เข้าพบ เพื่อหารือถึงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการส่งออกไทย โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร. นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ ผู้อำนวยการผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เข้าร่วมการหารือ
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความแออัดของ ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เนื่องจากมีผลทำให้เกิดความล่าช้าในการให้บริการขนส่งและต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และวางรากฐานการบริหารจัดการในระยะยาว จึงได้กำหนดแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
1.แก้ปัญหาความแออัดของท่าเรือแหลมฉบัง เร่งใช้ระบบ Truck Queue 100% ภายในปีนี้รวมถึงพัฒนา Port Community System และระบบDashboard บริหารการเข้า – ออก เทอร์มินัลแบบเรียลไทม์
2.จัดสรรลานจอดรถบรรทุกที่รอเข้าท่าเทียบเรือ 70 ไร่ และ 22 ไร่ สำหรับให้รถบรรทุกที่รอเข้าท่าเรือเรือ เพื่อลดการจอดซ้อนหรือไหลล้นสู่ถนนสาธารณะ
3.เดินหน้าโครงการ ศูนย์กลางตู้สินค้าภายในประเทศ (ICD ลาดกระบัง) ซึ่งเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางรางเชื่อมโยงโดยตรงกับท่าเรือแหลมฉบัง ลดจำนวนรถบรรทุกเข้าสู่ท่าเรือกว่า 20% ต่อวัน และเพิ่มศักยภาพระบบราง
4.พัฒนา โครงการ Single Rail Transfer Operator (SRTO) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับตู้สิรค้า
5.ผลักดันท่าเรือแหลมฉบังสู่การเป็น Transshipment Hub และ Green Port ติดตั้งระบบ Shore Power (OPS) ลดคาร์บอนและมลภาวะ
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ระบบโลจิสติกส์ สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยกระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าเชิงรุก เพื่อให้การขนส่งของไทยแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมมอบหมายให้จัดตั้ง คณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอของ สรท. ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม


