ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ไตรมาส 3 ปี 68 ลดลง 0.3% ปรับลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส เหตุต้นทุนพลังงานทรงตัว การขนส่งลดลงในช่วงฤดูฝน การแข่งขันที่รุนแรงมีการปรับลดราคาเพื่อดึงลูกค้า และการสร้างอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ทำให้ขนวัสดุก่อสร้างลดลง คาดไตรมาส 4 ยังลดต่อ จากดีเซลลด แข่งตัดราคา เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ปรับลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 โดยปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลักหลายประการ ได้แก่ ต้นทุนด้านพลังงานของผู้ประกอบการยังทรงตัว ปริมาณการขนส่งสินค้าที่ลดลงในช่วงฤดูฝน และการแข่งขันที่รุนแรงในภาคการขนส่ง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่มีอำนาจในการกำหนดราคาค่าบริการได้มากนัก จึงต้องยอมปรับลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้า รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยชะลอตัวจากภาวะไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ส่งผลกระทบให้การจ้างขนส่งวัสดุก่อสร้างมีปริมาณลดลง
โดยดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนที่ลดลง มาจากการลดลงของค่าบริการขนส่งผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและการประมง 1.6% จากการลดลงของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง ลด 0.2% จากการลดลงของผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากการทำเหมือง และถ่านหินและลิกไนต์ สำหรับหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนแบ่งตามประเภทรถ ลดลง 0.1% เป็นการลดลงของประเภทรถที่บริการขนส่งสินค้า ได้แก่ รถกระบะบรรทุก ลด 0.1% รถตู้บรรทุก ลด 0.2% รถบรรทุกของเหลว ลด 0.7% และรถบรรทุกเฉพาะกิจ ลด 0.8% ส่วนดัชนีค่าบริการขนส่งโดยรถบรรทุกวัสดุอันตราย เพิ่ม 0.5% รถพ่วง เพิ่ม 0.1% และรถกึ่งพ่วงบรรทุกวัสดุยาว ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง
นายนันทพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 โดยมีปัจจัยสำคัญจากราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นต้นทุนการดำเนินงานหลักของผู้ประกอบการขนส่งมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบกับผู้ให้บริการขนาดเล็กและขนาดกลาง ต้องเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกิน ทำให้มีการตัดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งกดดันให้ราคาค่าขนส่งโดยรวมลดลง ภาคการขนส่งอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้อุปสงค์ในการอุปโภคและบริโภคสินค้าลดลง และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจจากการใช้มาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการส่งออกสินค้าของผู้ประกอบการในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความต้องการอุปโภคและบริโภคอาจเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี รวมทั้งผู้ประกอบการและผู้ค้าปลีกอาจมีการเร่งระบายสต๊อกสินค้าและส่งมอบสินค้าให้ทันก่อนวันหยุดยาว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลให้ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนไม่เป็นไปตามที่คาดได้
“จากแนวโน้มที่เกิดขึ้น ภาครัฐและผู้ประกอบการขนส่งควรเร่งพิจารณาถึงความท้าทายใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาถึง ผู้ประกอบการควรพิจารณาปรับกลยุทธ์โดยการใช้รูปแบบการขนส่งที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกและลดความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางรางและทางน้ำ การส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อการวางแผนเส้นทางที่แม่นยำ และการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลางเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที เพื่อรองรับความต้องการในยุคดิจิทัล และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคโลจิสติกส์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”นายนันทพงษ์กล่าว