“มัลลิกา”มอบนโยบายกรมขนส่งฯ ลุย Quick Win/Big Win ยกระดับบริการ ลุยแก้ปัญหาขึ้นทะเบียนรถบริการผ่านแอปฯ ขบ.จ่อใช้”ดิจิทัลแท็กซี่มิเตอร์ “ GPS คำนวนระยะทาง-เวลา-ค่าเชื้อเพลิง เพิ่มค่าบริการรถติดแก้ปฎิเสธรับผู้โดยสาร ย้ำพัฒนาระบบ ค่ามิเตอร์เท่าเดิม เชื่อเป็นธรรมคนขับ-ผู้โดยสาร
วันนี้ (17 ตุลาคม 2568) นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ว่า กรมขนส่งฯเป็นหน่วยงานสำคัญในการกำกับดูแลและพัฒนาเพื่อยกระดับการคมนาคมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และให้ระบบการขนส่งทางถนนมีความปลอดภัย โดยให้ดำเนินการภายใต้กรอบระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยดูแลให้ความสำคัญกับทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ นอกจากนี้ ปัจจุบันมีแอปพลิเคชั่นด้านการขนส่งถึง 15 แอปฯ ซึ่งถือว่ามาก ขอให้ ขบ.นำมารวมศูนย์เพื่อให้ใช้บริการได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
ทั้งนี้ ภายในกรอบเวลา 4 เดือนของรัฐบาล ได้ให้กรมขนส่งฯเร่งประสานเพื่อดำเนินโครงการ”คนละครึ่งพลัส”ในส่วนของระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดภาระประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเร่งแก้ปัญหาผู้ให้บริการผ่าน แอปพลิเคชั่นแพลตฟอร์มเรียกรถ ที่พบว่า ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ ยังไม่นำรถมาจดทะเบียนเป็นรถรับจ้างสาธารณะ ซึ่งกรมขนส่งฯจะเร่งแก้ไข เรื่องที่ผู้ให้บริการต้องนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ไปจดทะเบียนเป็น รถรับจ้างสาธารณะ รย.17 (รถจักรยานยนต์) หรือ รย.18 (รถยนต์) เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของผู้ให้บริการ เนื่องจากการที่นำรถส่วนตัวมาจดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะให้บริการผ่านแอปฯ มูลค่ารถจะลดลง 30% และจะถูกบังคับทำประกันชั้น 1 ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น กรมขนส่งจะหารือกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้เกิดประโยชขน์กับทุกฝ่าย
@ขบ.จ่อใช้”ดิจิตอลแท็กซี่มิเตอร์”เพิ่มค่าบริการช่วงเร่งด่วน แก้ปฎิเสธรับผู้โดยสาร
นางสาวมัลลิกากล่าวว่า ในส่วนของรถแท็กซี่มิเตอร์ใช้อัตราเดิมมานานแล้ว ซึ่งกรมขนส่งฯมีแนวคิดในการปรับเปลี่ยน โดยนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ คำนวนค่าโดยสารเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งคนขับและผู้โดยสาร และช่วยแก้ปัญหาการปฎิเสธรับผู้โดยสารได้ แต่เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน หากไม่แน่ชัดและเกิดการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความกังวลกับทั้งแท็กซี่และผู้ใช้บริการได้
“ต้องยอมรับว่า อัตราแรกเข้า ที่ 35 บาท ใช้กันมานานมากแล้วขณะที่ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าครองชีพเพิ่มขึ้น แต่หากมีการพูดว่าจะปรับขึ้นเป็น 40 หรือ 45 บาทจะมีปัญหาทันที ดังนั้น จะใช้วิธีใหม่โดยนำเทโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้มีความยืดหยุ่น ซึ่งเท่าที่ขบ.ศึกษาไว้ แนวทางจะไม่มีการปรับค่าแรกเข้าที่ 35 บาทเท่าเดิม ซึ่งการปรับเปลี่ยนตรงนี้จะไม่ครบอคลุมเรียกรถผ่านแอปฯ เพราะส่วนนั้น มีค่าบริการที่สูงกว่าแท็กซี่มิเตอร์อยู่แล้ว”
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า อัตรามิเตอร์เดิมใช้มากว่า 20 ปี ไม่ไม่ยืดหยุ่น และเกิดปัญหาแท็กซี่ปฎิเสธรับผู้โดยสาร กรมขนส่งฯจึงศึกษาพัฒนาระบบ”ดิจิตอลแท็กซี่มิเตอร์ “ที่จะมีการคิดค่าธรรมเนียมโดยใช้ระบบ GPS คำนวนระยะทางและเวลา รวมไปถึง ต้นทุนราคาเชื้อเพลิงในขณะนั้นด้วย โดยจะยังคงใช้กรอบราคาตามเดิมแต่จะมีการปรับสูตรการคำนวนมากว่า
โดยแท๊กซี่จะต้องปรับตัวมิเตอร์ใหม่ติดตั้ง GPS เข้าไป และเมื่อผู้โดยสารเรียก ก็จะกำหนดจุดต้นทางปลายทาง ระบบจะคำนวนราคาออกมาได้เหมาะสมกับระยะทางและเวลา เบื้องต้นแนวทางจะเป็นการเก็บค่าบริการเพิ่ม (Surcharge) ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้า และช่วงเร่งด่วนเย็น ที่การจราจรติดขัดมากๆ และช่วงหลังเวลา 21.00 น.เป็นต้นไป โดยจะมีค่าบริการเพิ่มอีกประมาณ 10-20 บาท ซึ่งกรมขนส่งฯจะเร่งสรุปและเสนอกระทรวงคมนาคมในเดือนธ.ค. 2568
“ปัจจุบันจำนวนแท็กซี่มิเตอร์ลดลงเหลือ 65,000 คัน เทียบกับช่วงก่อนโควิดที่มี 110,000 คัน แท็กซี่มิเตอร์หายไปจากระบบครึ่งหนึ่งเพราะประชาชนมีทางเลือกการเดินทางมากขึ้น ประกอบกับค่าครองชีพสูงขึ้น ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงก็เพิ่ม ทำให้รายได้เฉลี่ยของแท็กซี่ก็ลดลงเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำส่วนอัตรามิเตอร์ก็ไม่ได้ปรับมากว่า 20 ปีดังนั้นแนวโน้มแท็กซี่ก็จะลดลงเรื่อยๆ การคำนวนราคาใหม่ เชื่อว่าจะเป็นธรรมและไม่กระทบกับผู้โดยสาร “
สำหรับ นโยบายสำคัญ ที่นางสาวมัลลิกา เน้นย้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก
1. นโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน (Quick Win) ให้เห็นผลได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมได้ ภายใน 4 เดือน
- อำนวยความสะดวกในการเดินทาง ให้มีความปลอดภัย ตรงต่อเวลา ราคาสมเหตุสมผล โดยพัฒนา Digital Taxi Meter เพื่อสร้างมาตรฐานค่าโดยสารที่เป็นธรรม โปร่งใส และพัฒนา DLT One APP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้บริการแอปฯ ของกรมการขนส่งทางบก
- ให้ความสำคัญสูงสุดกับมาตรฐานความปลอดภัย และการให้บริการเป็นไปตามมาตรฐาน โดยยกระดับการกำกับดูแลผู้ขับขี่และผู้ประกอบการอย่างจริงจัง ยกระดับ GPS TWO-WAY เพื่อกำกับพฤติกรรมการขับขี่ ยกระดับการควบคุมและป้องกันอุบัติเหตุ พัฒนาใบรับรองแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Medical Certificate) เพื่อยกระดับการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ขับขี่ และจัดอบรมใบขับขี่รถขนาดใหญ่ "ฟรี 10,000 คน" ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อผลิตผู้ขับขี่รถบรรทุกที่มีคุณภาพ
- ดูแลคุณภาพของยานพาหนะในระบบขนส่งสาธารณะให้มีความสมบูรณ์ พร้อมให้บริการประชาชนโดยพัฒนาระบบกำกับดูแลสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ด้วยเทคโนโลยี CCTV และ AI ทั่วประเทศ เพื่อให้การตรวจสภาพรถถูกต้องแม่นยำ 100%
- ลดภาระค่าโดยสาร โดยพิจารณาอัตราที่เป็นธรรมทั้งกับประชาชนและผู้ให้บริการ โดยต้องไม่เป็นภาระทางการเงินต่อรัฐบาล ด้วยการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านบริการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายผลักดันโครงการ Quick Win ให้เร่งรัดโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ให้สามารถเปิดให้บริการได้โดยเร็ว เช่น ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม และศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย รวมทั้ง เร่งรัดเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่ออนุมัติโครงการ เช่น สถานีขนส่งสินค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ของประเทศ
2. การวางรากฐานด้านคมนาคมสำหรับอนาคต (Big Win) ในภาพรวม ให้ขับเคลื่อนดำเนินการ ดังนี้
- ขับเคลื่อนการลงทุน และกำกับดูแลการก่อสร้าง ให้ส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เพื่อลดภาระของภาครัฐและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เช่น ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม และศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย
- พัฒนาระบบ Feeder เชื่อมต่อระบบคมนาคมอย่างไร้รอยต่อ และยกระดับบริการขนส่งสาธารณะ โดยเร่งยกระดับบริการขนส่งสาธารณะทั้งระบบ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว โดยการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารให้ยั่งยืน และจัดทำข้อมูลการเดินรถโดยสารประจำทางในส่วนภูมิภาค เพื่อให้สามารถวางแผนการเดินทางและเชื่อมต่อกับระบบรางและสนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทบทวนกฎหมายของตนเอง ให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่น รองรับเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ให้ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งให้ทันสมัย เช่น การออกประกาศเพื่อรองรับเทคโนโลยี GPS 2-WAY และการพัฒนาระบบงานตรวจการขนส่งดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วและโปร่งใส
- สนับสนุนส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสินค้าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วย มาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก (Q Mark) เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับสากล
- ตอกย้ำและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย โดยให้พิจารณาการจัดตั้ง National Transport Safety Board สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาแนวทางการจัดตั้งองค์กรกลางด้านความปลอดภัย ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการด้านความปลอดภัย ผ่านเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.)
- ศึกษาอัตราค่าโดยสาร ที่เหมาะสม เป็นธรรมทั้งกับผู้ให้บริการ และประชาชน ให้ศึกษาอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม โดยเฉพาะการพิจารณาโครงสร้างราคาสำหรับรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าที่จะเข้ามาให้บริการทดแทนรถร้อน เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่สร้างภาระให้แก่ประชาชน
สำหรับด้านการคมนาคมทางบก ให้เร่งยกระดับบริการขนส่งสาธารณะทั้งระบบ จัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะในเมืองใหญ่ในภูมิภาค สำหรับเมืองท่องเที่ยวให้พิจารณาระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อกับสนามบินและแหล่งท่องเที่ยว และพิจารณาอัตราค่าโดยสาร ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม สำหรับรถโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาให้บริการ ของ ขสมก. ที่จะเข้ามาทดแทน รถร้อนทั้งหมด