xs
xsm
sm
md
lg

“พิพัฒน์” มอบ สนข.ลุย 4 เดือน ดัน 5 นโยบายเร่งด่วน เข็น พ.ร.บ. SEC เข้า ครม.-ถกเอกชนเริ่มใช้ "ตั๋วร่วม"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พิพัฒน์” มอบ สนข.ลุย 4 เดือน ดัน 5 นโยบายเร่งด่วน เร่งหารือคลังเข็นร่าง พ.ร.บ. SEC “แลนด์บริดจ์” เข้า ครม. เตรียมหารือ BEM-BTS-รถร่วม ขสมก. วางรูปแบบตั๋วร่วม ลดค่าเดินทางทั้งระบบ แย้มต่ออายุ 20 บาท "สีแดง-ม่วง" หลังครบ 30 พ.ย.นี้

วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ครบรอบ 23 ปี โดยมีนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคมเข้าร่วม

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า สนข.มีบทบาทสำคัญในฐานะ “คลังสมองของกระทรวงคมนาคม” ในการวางแผนยุทธศาสตร์ กำหนดทิศทาง และพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศในทุกมิติ ทั้งทางถนน ราง น้ำ และอากาศ เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเวลา 4 เดือน ดังนั้น จะเร่งแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศและผลักดันงานที่จะสามารถเห็นผลได้ ควบคู่กับการวางรากฐานเพื่ออนาคต รวมถึงหาข้อสรุปในประเด็นต่างๆ ให้การดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง


ทั้งนี้ ได้มีนโยบายเร่งด่วน 5 ข้อ ได้แก่ 1. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งไม่เฉพาะ สนข.แต่ทุกหน่วยงานของกระทรวงคมนาคมต้องเร่งจัดซื้อจัดจ้างให้ได้มากที่สุด

2. ผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (ร่าง พ.ร.บ. SEC) เพื่อสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ เช่นเดียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ

นายพิพัฒน์กล่าวว่า ในส่วนของร่างพ.ร.บ. SEC ขณะนี้เหลือประเด็นกองทุนฯ โดยจะหารือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ในสัปดาห์หน้าก่อน จากนั้นจะนำเสนอที่ประชุม ครม.ต่อไป ขณะที่ขั้นตอนของร่างพ.ร.บ.นั้น หลังจาก ครม.เห็นชอบจะต้องเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และวุฒิสภา (สว.) อีก ซึ่งไม่น่าทัน 4 เดือนนี้ เนื่องจากสมัยการประชุมในชุดนี้จะปิดการประชุมวันที่ 31 ต.ค.นี้ ไปเปิดสมัยการประชุมอีกทีวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ดังนั้นในกรอบ 4 เดือนจะผลักดันเข้า ครม.ให้ได้ก่อน

นายพิพัฒน์กล่าวว่า คงต้องประชุมหารือกับกระทรวงคมนาคมก่อน สำหรับเรื่องกองทุนใน พ.ร.บ.SEC เพิ่งมีการหารือกันเสร็จ และในสัปดาห์หน้าจะพูดคุยกับกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง ก่อนจะนำเสนอที่ประชุม ครม.ต่อไป ส่วนจะทัน 4 เดือนในวาระรัฐบาลนี้หรือไม่ นายพิพัฒน์กล่าวว่า ถ้าประกาศใช้ไม่น่าทัน แต่จะผลักดันจะต้องให้ที่ประชุม ครม.เห็นชอบก่อน ส่วนจะทันการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือไม่นั้น นายพิพัฒน์ระบุว่าสมัยการประชุมในชุดนี้จะปิดการประชุมวันที่ 31 ต.ค.นี้ ไปเปิดสมัยการประชุมอีกทีวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ซึ่งคาดว่าน่าจะไม่ทัน

3. เดินหน้าโครงการ Landbridge ซึ่งจะมีการก่อสร้างท่าเรือสองฝั่งทะเล “อ่าวไทยและอันดามัน” มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่มีระบบขนส่ง ทั้งทางถนน ราง และท่อ ระยะทางประมาณ 90 กม. เชื่อมการขนส่งสินค้า ตู้คอนเทนเนอร์ ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิกโดยผ่านท่าเรือ 2 แห่ง โดยร่นระยะทางในการขนส่งอีกด้วย หากไม่มีระบบแลนด์บริดจ์ โครงการจะไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะระบบท่อ คือการส่งน้ำมันดิบและก๊าซ เพราะแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ด้านตะวันออกกลางข้ามมาได้เลย ขณะที่ปัจจุบันการใช้ช่องแคบมะละกาค่อนข้างแออัด โครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาขนส่งได้ 5 วัน และจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ที่สำคัญ จะเป็นการสร้างอาชีพ สร้างงานให้คนในพื้นที่ได้ถึง 280,000 ตำแหน่งด้วย

พร้อมกับให้มีการศึกษาเพื่อขยายท่าอากาศยานชุมพรและระนอง เพื่อรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นรองรับแลนด์บริดจ์ และวางแผนการพัฒนาระบบขนส่งให้เชื่อมต่อระบบ ล้อ-ราง-เรือ อย่างไร้รอยต่อ

4. พัฒนาระบบตั๋วร่วม และค่าโดยสารร่วม (Commom Ticket System) เพื่อให้ประชาชนใช้บัตรใบเดียวเดินทางได้กับขนส่งทุกระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และเมื่อค่าใช้จ่ายลดลงในทางกลับกันก็จะเป็นการเพิ่มรายได้ไปด้วย

5. จัดการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าจะต้องมีความปลอดภัยสูงสุด และช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของประชาชน


นายพิพัฒน์กล่าวว่า รัฐบาลมีระยะเวลา 4 เดือน สำหรับเรื่องตั๋วร่วม และค่าโดยสารร่วม จะพยายามให้เกิดการเริ่มต้น เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันและวางกรอบเป็นข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน เพื่อให้มีกรอบสำหรับรัฐบาลหน้าเพื่อดำเนินการ โดยจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และต้องหารือกับผู้ประกอบการเอกชน ได้แก่ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) ที่จะต้องร่วมมือกับทั้งระบบ รวมถึงระบบรถเมล์ ที่มีขสมก.และรถเมล์เอกชนด้วย โดยจะวางโครงข่ายรถเมล์ ให้วิ่งแบบก้างปลา เพื่อทำหน้าที่ขนคนไปเข้าสู่ระบบรางที่เป็นระบบหลัก ถ้าทำได้จะช่วยลดการใช้ระยนต์ส่วนตัว ลดความแออัดและลดปัญหาการจราจร

ผู้สื่อข่าวถามถึงรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงที่เพิ่งมีการทบทวนมติ ครม.เดิม ซึ่งจะทำให้มาตรการสิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย. 2568 นั้นจะมีการดำเนินการอย่างไร นายพิพัฒน์กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมมีคณะทำงานขึ้นมาเพื่อเร่งหารือกับกระทรวงการคลังในการกำหนดแนวทางอย่างไร และต่ออายุออกไปอย่างไร เพราะต้องนำเรื่องระบบตั๋วร่วม รถไฟฟ้าและรถเมล์เข้าไปพิจารณาร่วมด้วย ซึ่งตั้งเป้าให้ได้ข้อสรุปในวันที่ 15 พ.ย. 2568 นี้


“ระบบตั๋วร่วมจะต้องรวมทั้งระบบรางและรถเมล์ทั้งหมดเป็นโครงข่ายเดียวกัน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชน ที่ปัจจุบัน ต้องจ่ายค่ารถเมล์ ที่ 8-25 บาท ส่วนรถไฟฟ้าจะอยู่ที่ 17-45 บาท โดยแต่ละระบบรถไฟฟ้าจะมีค่าแรกเข้า ซึ่งจะใช้ตั๋วร่วมนี้ในการไม่ต้องจ่ายตรงนี้ลงไป โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการรถเมล์ 6 แสนคน/วัน ขณะที่ผู้โดยสารรถไฟฟ้าอยู่เกือบ 2 ล้านคน/วัน ขณะที่ ภายใน 4 เดือนนี้ ขสมก.จะสรุปการเช่ารถเมล์EV จำนวน 1,520 คัน และรับมอบในปี 2569 จากนั้นจะทยอยปลดระวางรถเมล์ร้อนต่อไป”

ด้านนายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการ สนข. รักษาราชการแทนผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า สนข.จะดำเนินการตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายอย่างเร่งรัดโดยมุ่งวางรากฐานระบบคมนาคมขนส่งของประเทศในอนาคตให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของรัฐบาลโดยเฉพาะการผลักดันโครงการ Landbridge ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ควบคู่กับการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายท่าอากาศยานชุมพรและระนองเพื่อรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาแผนเชื่อมต่อระบบขนส่งทุกโหมดทั้งล้อรางและเรือให้เป็นระบบไร้รอยต่อ (Seamless Mobility)เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ สนข.ยังให้ความสำคัญต่อการศึกษาระบบโลจิสติกส์ทางรางและทางน้ำเพื่อช่วยลดต้นทุนขนส่งในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขีดความสามารถในการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลด้านคมนาคมเพื่อวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


กำลังโหลดความคิดเห็น