“พิพัฒน์” มอบนโยบายเร่งด่วน "คมนาคม" เดินหน้าแพคเกจลดภาระค่าเดินทาง "รถไฟฟ้า-รถเมล์" เร่งงานก่อสร้างล่าช้า และดันประมูลโปรเจกต์เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประะเทศครบทุกมิติ หวังอัดเม็ดเงินลงทุนช่วยกระตุ้น ศก.ทั้งระบบ
วันที่ 1 ตุลาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและทิศทางการทำงานต่อผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ว่า นโยบายรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยมุ่งเน้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน และการยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน วางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค”
นายพิพัฒน์กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ” โดยได้แก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดภาระประชาชน ซึ่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันที ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการ คือมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนทันที โดยการขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ทั้งสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงวันที่ 30 พ.ย. 2568
ซึ่งนายกฯ ได้ให้กระทรวงคมนาคมทำแผนมาตรการลดค่าเดินทาง โดยตั้งคณะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังให้ได้ความชัดเจนในวันที่ 15 พ.ย. 2568 ก่อนมาตรการค่าโดยสาร 20 บาทสายสีแดงและสีม่วงจะสิ้นสุด ว่าจะสามารถใช้ได้ต่อไปหรือมีแนวทางอื่นอย่างไร ซึ่งหลักการจะต้องมีตั๋วร่วม ซึ่งขณะนี้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ และพ.ร.บ.การรถไฟฟ้าฯ อยู่ในขั้นตอนของวุฒิสภา ขณะที่แนวทางของรัฐบาลเก่า เรื่อง 20 บาทตลอดสายแต่มีการทักท้วงเรื่องรัฐต้องอุดหนุนปีละ 2 หมื่นล้านบาทว่าเหมาะสมหรือไม่ คณะทำงานคมนาคม-คลังต้องไปทำการบ้าน
นอกจากนี้ ยังมีโครงการเปลี่ยนรถเมล์ร้อน เป็นรถแอร์ ซึ่ง ขสมก.มีโครงการเช่ารถปรับอากาศ EV มาทดแทนรถร้อน 1,520 คัน โดยกำลังพิจารณาแนวทางการดูแลค่าโดยสารเนื่องจากปัจจุบันรถร้อนเก็บค่าโดยสารที่ 8 บาทหากเปลี่ยนเป็นรถแอร์จะเก็บอย่างไร ซึ่งต้องดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้เกษียณอายุ นักเรียนนักศึกษา และคนจบใหม่ที่เพิ่งได้งานทำ มาตรการต่างๆ เพื่อให้มีระบบขนส่งสาธารณะที่ดี จูงใจให้คนหันมาใช้บริการมากขึ้น ซึ่งจะแก้ปัญหาจราจรและลดมลพิษใน กทม.
นอกจากนี้จะต้องเข้มงวดในการตรวจสอบความปลอดภัยในทุกโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อสร้างความปลอดภัยอันสูงสุดต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมยกระดับคุณภาพการบริการระบบคมนาคมทั้งระบบทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ” ให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ และจากสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมเจ้าท่า เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง พร้อมเปิดเส้นทางและกำจัดสิ่งกีดขวาง เพื่อการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน
นายพิพัฒน์กล่าวอีกว่า ในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้เร่งเดินหน้าเชิงรุกและผลักดันโครงการสำคัญ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2569 โดย ได้มอบหมายกรมทางหลวงในการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ M82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว วงเงิน 31,457 ล้านบาท ของกรมทางหลวง โดยช่วงต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัย ระยะทาง 8.3 กม. เปิดใช้ภายในเดือนตุลาคม 2568 และระยะที่ 2 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร โดยเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ ปี 2569
เร่งรัดการเปิดใช้มอเตอร์เวย์สาย M81 (บางใหญ่-กาญจนบุรี) ในเดือนตุลาคม 2568 และสาย M6 (บางปะอิน-โคราช) ในต้นปี 2569 รวมถึงการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 ที่จังหวัดบึงกาฬ-บอลิคำไซ นอกจากนี้ยังผลักดันรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร-สุราษฎร์ธานี สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่ และหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาจราจรติดขัดในจังหวัดภูเก็ตด้วยโครงการทางพิเศษกะทู้-ป่าตอง และถนนแนวใหม่บ้านเมืองใหม่-สนามบินภูเก็ต อีกทั้งยังส่งเสริมในการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) มาใช้เพื่อทดแทนรถร้อน ซึ่งนำมาสู่การยกระดับการบริการและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
และในระยะยาว กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับอนาคต โดยมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการ LANDBRIDGE ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่อ และท่าเรือ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ตลอดจนการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ เช่น ขอนแก่น-หนองคาย บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม และเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ รวมถึงรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-โคราช ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีม่วง พร้อมเร่งรัดการต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งฝั่งเหนือและตะวันตก ขณะเดียวกันจะเพิ่มศักยภาพสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และสะพานเชื่อมทะเลสาบสงขลา เพื่อลดเวลาการเดินทางระหว่างจังหวัด นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงกฎหมายด้านคมนาคมให้ทันสมัย รองรับเทคโนโลยีและบริการรูปแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
@มอบ "มัลลิกา" กำกับ 4 หน่วยงาน
ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ได้มีการแบ่งงานให้นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแล 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทจ จำกัด (บวท.) พร้อมกับย้ำว่า “นโยบายคมนาคมในยุครัฐบาลนี้ จะเป็นการพัฒนาระบบคมนาคมเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับพี่น้องประชาชน และยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ด้าน นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พวกเราพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านคมนาคมของรัฐบาลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุด พร้อมเร่งในการดำเนินการยกระดับงานด้านคมนาคมของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดต่อพี่น้องประชาชน พร้อมย้ำว่า “ทุกโครงการที่ดำเนินการจะต้องทำได้จริง และพี่น้องประชาชนได้ประโยชน์จริง