การประกาศนโยบายด้านพลังงานของนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ภายใต้แนวทาง Quick Big Win มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนระยะยาวเพื่อรองรับ Net Zero Emission 2050 โดยผลักดันโครงการโซลาร์ภาคประชาชน 1,500 เมกะวัตต์ การเร่งรัดแนวทาง Direct PPA หรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง 2,000 เมกะวัตต์เพื่อรองรับ Data Center, พัฒนาการดักจับ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) และที่สำคัญเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ โดยทบทวนแผน PDP ให้ตอบโจทย์กับเป้าหมายใหม่ Net Zero 2050 ที่เร็วขึ้นถึง 15 ปี ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสม โดยแผน PDP ฉบับใหม่นี้เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจไฟฟ้าต่างเฝ้ารอคอยหลังดีเลย์มานาน
บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) หนึ่งในบริษัทผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย ประกาศพร้อมลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในประเทศหากมีการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มตามแผน PDP ใหม่ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานนอกเหนือจากฐานการผลิตเดิมเช่น ในยุโรป โดยสนใจลงทุนโครงการไบโอดีเซล และโครงการ SAF ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร หากสำเร็จก็จะเป็นการขยายฐานการผลิตเพิ่ม นอกเหนือจากฐานผลิตในไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ทำให้อนาคตสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะมากกว่า 50%
อย่างไรก็ดี ออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นฐานการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศมากสุดคิดเป็นสัดส่วน 19.37% ของกำลังการผลิตไฟฟ้า ซึ่งราช กรุ๊ป (เดิมบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ชื่อในขณะนั้น) ได้เริ่มเข้าไปลงทุนในออสเตรเลียเมื่อปี 2554 โดยเข้าซื้อกิจการของกองทุน Transfield Services Infrastructure Fund ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) เป็นเจ้าของและบริหารสินทรัพย์ด้านพลังงานทดแทนและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั่วประเทศออสเตรเลีย มีกำลังการผลิตรวม 2,094.89 เมกะวัตต์ นับเป็นบริษัทข้ามชาติที่ลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนใหญ่สุดในออสเตรเลีย
จากนโยบายของราช กรุ๊ป ที่กำหนดในปี 2578 เพิ่มพอร์ตพลังงานทดแทนมากขึ้นแตะ 40% จากปัจจุบันพอร์ตพลังงานทดแทนอยู่ที่ 27.5% หรือประมาณ 2,972 เมกะวัตต์ ดังนั้น ราช กรุ๊ป จึงเร่งขยายโอกาสการลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะออสเตรเลียที่มีนโยบายชัดเจนในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน มีการทยอยปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยเฉพาะรัฐเซาท์ ออสเตรเลีย ไฟฟ้าที่ใช้มาจากพลังงานทดแทนทั้งหมด จึงเป็นโอกาสที่บริษัทจะขยายธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและเกี่ยวเนื่อง
โดยระบบไฟฟ้าของออสเตรเลีย แบ่งเป็นโซนตามสภาพภูมิประเทศ โดยมี National Electricity Market (NEM) เป็นระบบหลักในฝั่งตะวันออกและใต้ ครอบคลุมหลายรัฐทั้งควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์, วิกตอเรีย, เซาท์ ออสเตรเลีย และแทสเมเนีย เว้นเวสเทิร์น ออสเตรเลีย, Northern Territory ที่มีระบบเป็นของตนเอง โดย NEM ทำหน้าที่เป็นตลาดค้าส่งไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย
การซื้อขายไฟฟ้าเป็นแบบเสรี กำหนดราคาแบบ Spot Price ตามอุปสงค์และอุปทาน โดยผู้ซื้อไฟฟ้าสามารถเลือกที่จะซื้อไฟฟ้าแบบ Fixed Price หรือราคาเปลี่ยนแปลง หรือเลือกซื้อเฉพาะไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนก็ได้
ซึ่งการจำหน่ายในระบบตลาดกลางรับซื้อไฟฟ้า (Pool Price) หากมีบางช่วงเวลาที่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเข้าในระบบมาก อัตราค่าไฟจะติดลบ เท่ากับว่าผู้ซื้อไฟฟ้าช่วงนั้นจะได้ใช้ไฟฟรีแถมยังได้รับเงินด้วย ดังนั้นจึงเกิดโครงการ BESS หรือระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ โดยจะซื้อไฟฟ้าช่วงราคาถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่แล้วนำออกขายในช่วงที่ค่าไฟฟ้าสูง ซึ่ง RAC ก็มีการลงทุนโครงการ BESS หลายโครงการ
นอกจากนี้ RAC ยังมองเห็นโอกาสในการขยายสู่ธุรกิจผู้ค้าไฟฟ้ารายย่อย (Retail) โดยสนใจจะเจาะตลาด Retail เนื่องจากมีมาร์จินทั้งซื้อและขายไฟฟ้า โดยจะเข้าร่วมถือหุ้นในบริษัทที่ทำธุรกิจดังกล่าว แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะตลาดตรงนี้ได้ รวมทั้งยังสนใจพลังงานอนาคต โดยเฉพาะกรีน ไฮโดรเจน โดยจะนำพลังงานหมุนเวียนมาแยกไฮโดรเจนและออกซิเจนออกจากน้ำด้วย
ปลื้ม! ไม่ต้องใส่เงินลงทุนใน RAC เพิ่มเติม
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH กล่าวว่า ขณะนี้ราช กรุ๊ป ไม่ต้องใส่เงินลงทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียเพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น (RAC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทำรายได้และกำไรจากการดำเนินธุรกิจได้ดี โดยมีกระแสเงินสดสะสมราว 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และสามารถจัดหาแหล่งเงินกู้เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ โดย RAC มีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ และพลังงานทดแทนที่เปิดดำเนินการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วรวม 1,580.89 เมกะวัตต์
สำหรับโรงไฟฟ้าที่ COD แล้วในออสเตรเลียส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานลมถึง 7 โครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ 1 โครงการ และโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 3 โครงการ และ RAC ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้า รวม 9 โครงการ ในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทมีแผนลดสัดส่วนการถือหุ้นในอนาคต จากปัจจุบันถือหุ้น 100% โครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และโครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง คาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572 และโครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ กำลังการผลิต 500-800 เมกะวัตต์อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ คาดว่า CODในปี 2573 หากโครงการขนาดใหญ่แล้วเสร็จจะทำให้ RAC มีรายได้เพิ่มขึ้นดับเบิ้ลจากปัจจุบัน 3พันล้านบาท
สืบเนื่องจาก RACมีโครงการโรงไฟฟ้าในมือที่เตรียมพัฒนาและก่อสร้างหลายโครงการ รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติมทั้งในรูปGreen Field และM&A เน้นพลังงานทดแทน ซึ่งภายใต้แผนกลยุทธ์ใหม่ บริษัทมีแผนการบริหารพอร์ตสินทรัพย์ โดยจะพิจารณาลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าลง หากมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อยู่ที่ 9-10% อาจจะขายหุ้นออกไป 49% แต่ถ้ามีผลตอบแทนสูงเกิน 10% ขึ้นไปก็ถือหุ้น 100% รวมทั้งหากเป็นโครงการขนาดใหญ่ก็จะพิจารณาดึงพันธมิตรมาร่วมถือหุ้นด้วย เป็นต้น ทำให้บริษัทรับรู้กำไรจากการขายหุ้นที่ถือในโครงการ และมีเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2569
ราช กรุ๊ป ปรับแผนกลยุทธ์ 5 ปี (2568-72)
ทั้งนี้ ราช กรุ๊ป ได้ปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ 5 ปีนี้ (2568-2572) เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจตอบสนองทิศทางพลังงานในอนาคต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจและมูลค่าได้อย่างต่อเนื่องสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก แต่ขยายการลงทุนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สร้างมูลค่าสูงสุดทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าให้ใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด การปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ อาทิ ลงทุนโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย โครงการนี้ช่วยสนับสนุนเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในรัฐควีนส์แลนด์ ป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากไฟดับอันเนื่องจากการมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในระบบมาก ทำให้โรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ ที่เดินเครื่องมากว่า 20 ปีหากเป็นเมืองไทยก็เป็นโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ที่ใกล้ปลดระวาง ยังคงสามารถสร้างรายได้ต่อไปได้อีก 10 ปี และคาดว่าความต้องการโครงการลักษณะนี้จะมากขึ้นตามการใช้พลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต นับเป็นแนวทางการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์
ด้วยนวัตกรรมพลังงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของโลก เฉพาะเชื้อเพลิงอนาคต RATCH สนใจลงทุน เช่นไบโอดีเซล โครงการ SAF โครงการกรีนไฮโดรเจน โครงการกรีนแอมโมเนียในต่างประเทศ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยพร้อมจะเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศด้วย
สำหรับกลยุทธ์หลัก (5S) ที่กำหนดไว้ครอบคลุมหลักการ ดังนี้ (S1) การบริหารพอร์ตสินทรัพย์ โดยจะเน้นการปรับปรุงศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำกำไร (S2) การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าตามแผนกำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ของแต่ละประเทศ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (S3) การลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน (S4) การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่หมดอายุให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (S5) ลงทุนรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านพลังงานรูปแบบใหม่ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เน้นสตาร์ทอัพ Series B ขึ้นไป โดยตั้งงบลงทุน CVC ไว้ 500 ล้านบาท จะเห็นการลงทุนในปี 2569
อัดงบลงทุนปีหน้า 1.5 หมื่นล้านบาท
นายนิทัศน์กล่าวว่า ในปี 2569 บริษัทตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในรูปโครงการ Green Field และการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) เน้นลงทุนในออสเตรเลีย อินโดนีเซียและลาว ทั้งนี้ ขณะนี้มีพาร์ตเนอร์บางรายได้ชวน RATCH ไปร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐอเมริกา แต่บริษัทยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะต้องพิจารณาว่าคุ้มทุนหรือไม่ รวมทั้งต้องมีทีมงานเข้าไปบริหารจัดการด้วย
ซึ่งขณะนี้บริษัทมีการเจรจาการทำ M&A มากกว่า 5 โครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2568 เนื่องจากงบลงทุนที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ครึ่งแรกปี 2568 ใช้ไปแล้วเพียง 4 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดี RATCH ตั้งเป้า EBITDA เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% จากปัจจุบันที่มี EBITDA รวมอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าใน 5 ปีข้างหน้าบริษัทจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นแตะ 3 หมื่นล้านบาท มาจากการรับรู้รายได้จากการลงทุนโครงการใหม่ การทำ M&A รวมทั้งการขายหุ้นบางโครงการออกไป
การลงทุนในประเทศไทย นอกเหนือจากการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมแล้ว บริษัทสนใจลงทุนทั้ง Data Center และอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อมทั้งพื้นที่ดินราว 2,000 ไร่ที่ราชบุรีและพันธมิตร รวมทั้งเตรียมรุกโครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง (Direct PPA) ที่รัฐเตรียมประกาศการขาย Direct PPA ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับอุตฯ Data Center ที่มีการลงทุนในไทยและหลายประเทศในอาเซียน
ที่ผ่านมา RATCH มีแตกไลน์การลงทุนในโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องพลังงาน เช่น ร่วมถือหุ้นในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง โรงพยาบาล ฯลฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะขายหุ้นออกไปในอนาคต แต่ยังไม่ใช่ช่วงเวลานี้