xs
xsm
sm
md
lg

“ไทยเบฟ” เข้มวินัยการเงิน สู้ปัจจัยลบครบเครื่อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด - “ไทยเบฟ” ปรับกลยุทธ์สู้ตลาดโลกเปลี่ยน ปัจจัยลบสารพัดที่ไม่คาดคิด เน้นสร้างเสถียรภาพทางการเงินมั่นคง บริหารรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม ทุ่มงบลงทุนปี 2569 รวม 9 พันล้านบาท เดินหน้าทุกกลุ่มธุรกิจทั้ง สุรา เบียร์ นอนแอล อาหาร ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่อง


นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่ม”) เปิดเผยว่า สถานการณ์ต่างๆในอนาคตไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หลังจากโควิด-19ระบาดหนัก และเบาบางลง พร้อมกับได้รับบทเรียนอย่างดี ซึ่งคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นแล้ว แต่กลับต้องมาเผชิญกับอะไรอีกหลายอย่างเช่น สงครามการค้า ภาษีนำเข้าของสหรัฐ สงครามอื่นๆ ดังนั้น การสร้างความมั่นคงของธุรกิจและเสถียรภาพทางการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อให้พร้อมที่จะรองรับกับผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้น

“เป็นเรื่องปกติที่เราเห็นสภาพสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีผลกระทบต่อทุกๆที่ เช่น ทรัมป์ ประกาศเรื่องภาษีก็มีผลกระทบต่อโลก การค้าที่เคยส่งออกได้ก็เริ่มติดขัด ของที่เคยผลิตเริ่มขายได้น้อยลง แสดงว่า สถานการณ์ทั่วโลกเปลี่ยน เราก็ปรับพยายามผลักดันการเติบโตในยอดขายของเรา สิ่งที่เราต้องใส่ใจคือ การบริหารค่าใช้จ่าย และบริหารรายได้”

ทั้งนี้ แพชชั่น 2030 ก็ยังเป็นเป้าหมายเดิมของเราเป็นผู้ประกอบการเครื่องดื่มและอาหารที่เป็นผู้นำของภูมิภาคอาเซียน อย่างมั่นคงและและยั่งยืน


*** ทุ่มงบลุยปี2569 รวม 9 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ไทยเบฟ ยังคงต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีงบประมาณ 2569 ของบริษัท (ตุลาคม 2568- กันยายน 2569) วางแผนใช้งบลงทุนรวม 9,000 ล้านบาท ซึ่งมองดูแล้วจะลดลงและน้อยกว่าปีงบประมาณ 2568 ที่ใช้สูงถึง12,000 ล้านบาท แต่เป็นเพราะเราต้องลงทุนแบบมีความเข้าใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คงไม่ใช่ต้องไปเร่งการลงทุน และบางโครงการก็เป็นกรลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งเราต้องเปลี่ยนวิธีคิดตามสถานการณ์


นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการต่างประเทศ กล่าวถึงรายละเอียดการใช้งบลงทุนว่า วงเงินจำนวน 9,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น4 ธุรกิจ คือ ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์หรือ (NON AL) มากที่สุดคือ 4,000 ล้านบาท เช่น โครงการใหบ่รือ ฟาร์มโคนมที่มาเลเซีย ที่จะทำให้มีผลิตภัณฑ์นมเจาะตลาดมากขึ้น, ธุรกิจเบียร์ 2,000ล้านบาท, ธุรกิจสุรา 2,000 ล้านบาท และธุรกิจอาหาร1,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 38,000 ล้านบาท โดยเป็นการไถ่ถอนก่อนกำหนดมูลค่า 28,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้สามารถลดภาระอัตราดอกเบี้ยไปได้ถึง 1,500 ล้านบาท นอจากนั้นบริษัทยังได้ทำเอกสารเพื่อเตรียมความพร้อมในการที่จะออกหุ้นกู้เงินตราต่างประเทศอีก ด้วยวงเงินสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับหากเกิดกรณีปัญหาสภาพคล่อง

นายฐาปน กล่าวว่า “ภาวะเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ภายใต้ PASSION 2030 อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นในการเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมศักยภาพบุคลากร และเสริมแกร่งตราสินค้าของเรา ซึ่งเราเชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างไทยเบฟให้มีความคล่องตัว แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร”

แผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 ของไทยเบฟ มุ่งเน้นกลยุทธ์หลักสองประการ ได้แก่ ‘Reach Competitively’ หรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง พร้อมการให้บริการที่เป็นเลิศไร้รอยต่อในระดับต้นทุนที่แข่งขันได้ และ ‘Digital for Growth’ หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างรากฐานของไทยเบฟให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ พร้อมทั้งเสริมแกร่งสถานะผู้นำตลาด และเสริมสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้ต่อไปในระยะยาว


ไทยเบฟมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030

ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท

โดยผลประกอบการช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568แยกเป็น ธุรกิจสุรา มีรายได้จากการขายจำนวน 92,778 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณขายรวมลดลงร้อยละ 0.8 ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ธุรกิจสุราในไตรมาสล่าสุดมีกำไรที่ดีขึ้น

ธุรกิจเบียร์ มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ก็ตาม, ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขาย ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เป็น 49,326 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น, ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน เป็น 16,563 ล้านบาท อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง


*** กลุ่มสุรา ขยายพอร์ตพรีเมียม อาร์ทีดี
นายโสภณ ราชรักษา รองมสุรากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร กล่าวว่า “เราพร้อมยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยการนำเสนอสินค้าพรีเมียมเพื่อตอบโจทย์ความนิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดภายในประเทศ และขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ ด้วยการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าหลัก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์
อีกทั้ง เปิดตัว ‘PRAKAAN (ปราการ)’ ผลิตภัณฑ์ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของไทยเมื่อปลายปี 2567 การขยายตลาดสินค้า PRAKAAN (ปราการ) สู่สหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศทั่วโลก เน้นกลยุทธ์การขายและการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เปิดตัว ZATO (ซาโต้) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มในรูปแบบกระป๋อง มีแคลอรี่ต่ำ และมี 2 รสชาติ ได้แก่ โคล่า บอมบ์ (Cola Bomb) และเลม่อน ไลม์ ฟิซ (Lemon-Lime Fizz

ทางกลุ่มจะขยายพอร์ตโฟลิโอสุราสู่ระดับพรีเมียมมากขึ้น สอดรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค แลการขยายสินค้ากลุ่มพร้อมดื่ม(อาร์ทีดี) ล่าสุดคือ หงส์ทอง เปิดตัวปลายปีนี้ สุราสี ออกขนาด 200 มิลลิลิตร(มล.) ราคาขายปลีกแนะนำ 100 บาท

ในตลาดเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ (Grand Royal Whisky) ยังคงครองตำแหน่งตราสินค้าวิสกี้อันดับ 1 ในประเทศ พัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัว Chingu Soju (ชินกู โซจู) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในเมียนมา 
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ ไทยเบฟมุ่งเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ครอบคลุมตั้งแต่สก็อตช์วิสกี้ คอนญัก นิวซีแลนด์วิสกี้ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ของไทย ไปจนถึงรัมบ่มอายุ โดยมุ่งเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางการขายเฉพาะกลุ่มและที่สนามบิน และได้เพิ่มศักยภาพการผลิตด้วยการขยายคลังสินค้าในเมืองแอร์ดรี สหราชอาณาจักร เพื่อรองรับความต้องการวิสกี้พรีเมียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงวางแผนขยายกำลังการผลิตที่โรงกลั่นในประเทศนิวซีแลนด์


*** ธุรกิจเบียร์ ขึ้นผู้นำตลาดแล้วในไทย
นายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เบียร์โค ลิมิเต็ด กล่าวว่า “แม้ว่าการบริโภคในตลาดเวียดนามจะชะลอตัวลง แต่ธุรกิจเบียร์ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบ และการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยเรายังคงมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลักอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับสถานะของตราสินค้าช้างในประเทศไทย และเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดของซาเบโก้ในประเทศเวียดนาม เพื่อวางรากฐานธุรกิจเบียร์ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทั้งสองตลาดหลัก”

ทั้งนี้ในปี 2568 ตลาดในไทย ทางกลุ่มประสบความสำเร็จกับการก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 เป็นเวลา 8 เดือนแล้วในตลาดเบียร์ ด้วยส่วนแบ่งตลาดรวม 40% มากกว่าคู่แข่ง 2%

ส่วนปีงบประมาณ 2569 มีโครงการผลิตเบียร์ในกัมพูชา ซึ่งได้สร้างโรงงานที่จังหวัดกันดาล มีกำลังการผลิต 50 ล้านลิตรต่อปี และโครงการขยายกำลังผลิตเบียร์ที่เมียนมา เป็น150 ล้านลิตรต่อปี เพิ่มจากปี 2562 มีกำลังผลิต 50 ล้านลิตรต่อปี เพราะตลาดเติบโตดี


*** สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย
นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เรายังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่ง ช้าง ซึ่งเป็นตราสินค้าหลักของเรา และเบียร์อันดับ 1 ของประเทศไทย พร้อมเสริมสร้างการมองเห็นตราสินค้าและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมและกิจกรรมการตลาดที่ทรงพลัง ภายใต้กลยุทธ์หลัก 6 ประการ ที่ครอบคลุมการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม เพิ่มศักยภาพการกระจายสินค้า ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืน”
กลยุทธ์หลักทั้ง 6 ประการ ประกอบด้วย การบริหารจัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์, เสริมแกร่งด้านช่องทางการจัดจำหน่าย, ความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงาน, การเสริมศักยภาพบุคลากร, การเน้นความยั่งยืน, การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ตราสินค้าช้าง

*** สายธุรกิจเบียร์ ประเทศเวียดนาม
นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน กรรมการผู้จัดการของซาเบโก้ กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศเวียดนามเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ท่ามกลางสภาวะการบริโภคที่ชะลอตัว อันเป็นผลกระทบจากข้อกำหนดตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 100 (Decree 100) และฉบับที่ 168 (Decree 168)

“แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่ Bia Saigon ยังสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดเบียร์ในประเทศเวียดนาม โดยเรายังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเสริมสร้างตราสินค้า ขับเคลื่อนวัตกรรมผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และผลักดันเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

กลุ่มจะเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดเบียร์อันดับ 1 ในประเทศเวียดนามของ Bia Saigon และเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดสินค้าเมนสตรีม, การลงทุนด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ สร้างโอกาสในการเติบโตของรายได้ โดยกลุ่มได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เบียร์ 333 Pilsner และ Bia Saigon Chill ในรูปแบบกระป๋องขนาด 250 มล. เปิดตัว Bia Lac Viet รูปโฉมใหม่ที่มีความทันสมัยมากขึ้น, การดำเนินงานที่เป็นเลิศ การขนส่งสินค้าด้วยการพัฒนาการบริหารคลังสินค้าและกระบวนการขนส่ง และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซและโมเดิร์นเทรด การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของซาเบโก้ในบริษัทร่วม Saigon Binh Tay Beer Group JSC (Sabibeco) จากร้อยละ 21.8% เป็น 65.9%


*** ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า เป้าหมายของกลุ่ม NON AL ในปีงบประมาณ 2569 จะต้องสร้างสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนี้เพิ่มเป็น 10% จากรายได้รวม จากเดิมปี2568ที่ผ่านมามีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น ด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดทุกผลิตภัณฑ์ และเน้นทางด้านปริมาณการขาย

กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เดินหน้าลงทุนด้านการตลาดและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง, โออิชิ กรีนที ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดผ่านแคมเปญ “โออิชิ กรีนที รู้สึกดีทุก TEA เลย”, คริสตัลเดินหน้าตอกย้ำกระบวนการผลิต 19 ขั้นตอนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากล, เครื่องดื่มอัดลมเอส สร้างการเติบโตผ่านแคมเปญที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเป็นผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก FIVB ปี 2025

กลุ่มได้ต่อยอดการผนึกกำลังจากการรวมธุรกิจและการดำเนินงานของ F&N ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นมใหม่ ๆ ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึง NutriWell (นิวทริเวล) เครื่องดื่มนมถั่วเหลืองพรีเมียม การขยายจุดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ในส่วนของ Magnolia เปิดตัวไอศกรีม ‘Magnolia HERSHEY’s’ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคไปยังกลุ่มใหม่ ๆ

การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพผ่านจุดขายในประเทศไทยกว่า 600,000 จุด รวมทั้งเครือข่ายการกระจายสินค้าในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่ครอบคลุมทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านโชห่วย ตลอดจนช่องทางการให้บริการอาหารในโรงแรม ร้านอาหาร และบริการจัดอาหารนอกสถานที่


*** ธุรกิจอาหาร โหมสาขาปรับโมเดล
โดยอาหารมี 3 หน่วยหลักคือ แบรนด์เคเอฟซี ที่เป็ผูู้นำตลาด จะขยายสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 40 สาขา ส่วนแบรนด์โออิชิ ก็จะปรับโฉมโออิชิราเมง และโออิชิบุฟเฟ่ต์ หลังจากทยอยปรับชาบูชิมาแล้ว และเอฟโอเอที่มีหลายแบรนด์รวมกัน ก็ขยายสาขามากแล้วในปีที่ผ่านมา ปีนี้จะเน้นการสร้างรายได้และกำไร
นายไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า “ธุรกิจอาหารใช้กลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการขยายสาขาใหม่ การขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายที่แท้จริง การเสริมแกร่งพื้นฐานทางธุรกิจ และการพัฒนาด้านความยั่งยืน , เพิ่มจุดให้บริการร้านอาหารในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงร้านอาหารของกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น, พัฒนารูปแบบร้านใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับทำเลและกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ ปีนี้ยังได้เปิดตัวให้บริการ แอป SOOK เป็นดีลิเวอรีอาหารภายในโครงการวันแบงคอก มีผู้ใช้ประมาณ 5,000 รายแล้ว
“เราจะขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายในสาขาที่มีอยู่ ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าสนใจ และการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ, ชาบูชิซึ่งเป็นร้านในกลุ่มโออิชิเดินหน้าปรับโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้น 3 สิ่งสำคัญ ได้แก่ คุณภาพ ความสร้างสรรค์ และช่วงเวลาแห่งความสุข
การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้วยการบูรณาการหลักสูตรฝึกอบรมให้สอดคล้องกันสำหรับแบรนด์ร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อรักษามาตรฐานในการให้บริการลูกค้าที่ดี และพัฒนาทักษะที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน เพื่อให้สามารถทำงานในหลายแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานด้วยการจัดสรรจำนวนพนักงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามระบบวิเคราะห์การจัดการแรงงาน, การสร้างรายงานสรุปภาพรวมของการดำเนินงานดิจิทัล และการลงทุนในระบบดิจิทัลต่าง ๆ เช่น ตู้จำหน่ายอาหารดิจิทัล ตลอดจนการจัดการห่วงโซ่อุปทานผ่านการผนึกกำลังภายในกลุ่มไทยเบฟเพื่อประสิทธิภาพให้การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งต่าง ๆ


*** การพัฒนาที่ยั่งยืน
นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ กล่าวว่า “ความยั่งยืนเป็นรากฐานสำคัญของทุกมิติในการดำเนินธุรกิจของไทยเบฟ โดยเราได้น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะทรง ‘สืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร’ พร้อมด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ทั้ง 17 ประการมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกลุ่ม เพื่อสร้างลัพธ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม”

*** กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล
นายโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร กล่าวว่า “ไทยเบฟได้ใช้กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรแบบองค์รวม (Holistic People Development) เพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีทักษะความสามารถที่สำคัญและจำเป็นต่อบทบาทหน้าที่ในปัจจุบันและเส้นทางอาชีพในอนาคต ทั้งนี้ กลุ่มได้ใช้เครื่องมือที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอย่างแผนการพัฒนารายบุคคล (Individual Development Plan หรือ “IDP”) เพื่อให้เป้าหมายด้านอาชีพสอดคล้องกับสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจมากที่สุด”
ปัจจุบัน ธุรกิจของไทยเบฟประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ สุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารโดยกลุ่มมีโรงกลั่นสุรา 19 แห่ง โรงงานผลิตเบียร์ 3 แห่ง และโรงงานผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และอาหาร 21 แห่งในประเทศไทย และมีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมจุดขายมากกว่า 600,000 จุดทั่วประเทศ และจำหน่ายสินค้าครอบคลุมมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก รวมถึงมีเครือข่ายโรงงานผลิตเบียร์ 25 แห่งในประเทศเวียดนาม โรงงานผลิ ตเบียร์ 1 แห่งในเมียนมา โรงกลั่นและโรงงานผลิตสุรา 6 แห่งในสกอตแลนด์ โรงงานผลิตสุรา 1 แห่งในฝรั่งเศส โรงกลั่นสุรา 1 แห่งในนิวซีแลนด์ โรงงานผลิตสุรา 2 แห่งในเมียนมาของ GRG โรงกลั่นสุรา 1 แห่งในเวียดนาม และโรงกลั่นสุรา 1 แห่งในจีน นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และอาหาร 12 แห่งในมาเลเซีย 1 แห่งในสิงคโปร์ และ 1 แห่งในเวียดนาม


กำลังโหลดความคิดเห็น