กรมการค้าภายใน (DIT) รับลูก “ศุภจี” ลุย Quick Big Win เดินหน้าลดค่าครองชีพทันที จัดมหกรรมธงฟ้าทั่วประเทศ เป้า 1,300 ครั้ง ดีเดย์ครั้งแรก จ.ศรีสะเกษ ต.ค.นี้ ก่อนจัดต่อเนื่องครบทุกจังหวัด จ่อลงนาม MOU โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยราคายา เพิ่มทางเลือกผู้ป่วยซื้อยาข้างนอก คาดช่วยประหยัด 3.24 หมื่นล้านต่อปี เล็งดูแลเวชภัณฑ์ที่จำเป็นด้วย ส่วนสินค้าเกษตรมีแผนดูแลข้าว ข้าวโพด มัน ปาล์ม ผลไม้ พืชสามหัว เล็งหนุนเกษตรกรปลูกพืชอื่นที่ทำเงิน ตลาดต้องการ
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (DIT) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้เร่งขับเคลื่อนมาตรการลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ตามนโยบายของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยึดแนวทาง Quick Big Win เพื่อให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยจะเร่งจัดมหกรรมธงฟ้า เริ่มเร็วสุดเดือน ต.ค. 2568 นี้ ที่ จ.ศรีสะเกษ จากนั้นจะจัดต่อเนื่องในจังหวัดต่างๆ จนครบตามเป้าหมาย 1,300 ครั้งทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน จะร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ จัดมหกรรมลดราคาสินค้าในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่ เทศกาลกินเจ ตรุษจีน และช่วงเปิดภาคเรียน เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้ครัวเรือน คาดว่าการจัดลดราคาสินค้า จะช่วยลดรายจ่ายประชาชนได้กว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้จะมีการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเปิดเผยราคายาและเวชภัณฑ์ก่อนการชำระเงิน ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเลือกซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้ คาดว่าจะช่วยประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี และยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลรัฐ และเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น และจะเข้าไปกำกับต้นทุนสินค้าสำคัญ เช่น ผ้ากอซ สำลี แผ่นแปะแผล ชุดตรวจ ATK ถุงมือยาง และแผ่นรองซับ โดยมาตรการดังกล่าวช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกกว่า 1,100 ล้านบาท
นายวิทยากรกล่าวว่า สำหรับมาตรการดูแลรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานราก โดยข้าว มีมาตรการลดต้นทุนปุ๋ยเคมีและปัจจัยเกษตรผ่านโครงการธงเขียว มีมาตรการดูดซับผลผลิตช่วงออกมาก ด้วยการชะลอการขาย ทั้งให้สินเชื่อ สนับสนุนสินเชื่อ และเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กำหนดราคารับซื้อให้เกษตรกร และมีมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวโพดปลอดการเผา ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 มันสำปะหลัง ส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปหัวมันสดเป็นมันเส้นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา สนับสนุนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มมูลค่าการผลิต ผลักดันการใช้พันธุ์ต้านทานโรคใบด่าง และควบคุมการนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย ส่วนปาล์มน้ำมัน มีการกำหนดราคารับซื้อเพื่อดูแลเกษตรกร
ส่วนผลไม้และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น กระเทียม หอมแดง และหอมใหญ่ ที่มีผลผลิตออกกระจุกตัวและเน่าเสียง่าย ได้ร่วมกับห้างค้าปลีกและเครือข่ายเร่งกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่เก็บเกี่ยว เชื่อมโยงการซื้อขายล่วงหน้า และจัดกิจกรรมรณรงค์การบริโภคผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและรักษาระดับราคาที่เป็นธรรมทั้งต่อเกษตรกร และผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดทำตัวอย่างการปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีตลาดรองรับทดแทน โดยได้เริ่มแปลงตัวอย่างกับสินค้ากล้วยหอม ใน อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ซึ่งสามารถส่งออกกล้วยหอมไปยังญี่ปุ่นได้ในราคาดี ทำให้ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงได้มีการปรับเปลี่ยนพืชเดิมมาปลูกกล้วยหอมกันมากขึ้น โดยแนวทางดังกล่าวจะมีการนำไปต่อยอดกับสินค้าเกษตรตัวต่อไป อาทิ แปลงลำไยใน จ.ลำพูน ที่จะมีการปลูกอะโวคาโดแซมในแปลงลำไย
“มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการทันที โดยผลการดำเนินมาตรการจะมีผลเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ เกษตรกรมีรายได้มั่นคง ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ และเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งในระยะยาว ตรงตามเจตนารมณ์ของนางศุภจีที่มุ่งให้เกิด Quick Big Win พร้อมกับการสร้างรากฐานการค้าไทยที่โปร่งใส ยั่งยืน และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ” นายวิทยากรกล่าว