อคส.ยื่นอุทธรณ์ หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ยกฟ้อง “พ.ต.ท.รุ่งโรจน์” และพวกรวม 21 ราย กรณีจัดซื้อถุงมือยาง จ่ายเงินล่วงหน้าทำ อคส.เสียหาย 2 พันล้านบาท “เกรียงศักดิ์” อดีต ผอ.อคส. ขอบคุณอธิบดีผู้พิพากษาที่เห็นแย้ง เผยเป็นคุณ ทำให้หน่วยงานเดินหน้าต่อได้
นายธิรินทร์ ณ ถลาง ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยถึงกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาคดีระหว่างอัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 ภาค 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพ.ต.ท.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 21 คน กรณี อคส. จัดซื้อถุงมือยาง โดยจ่ายเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท ซึ่งจำเลยทั้งหมดปฏิเสธข้อกล่าวหา และศาลยกฟ้อง ว่า อคส. ได้ขอคัดคำพิพากษาเพื่อนำกลับมาศึกษาในรายละเอียดแล้ว และคณะอนุกรรมการกฎหมายของ อคส. ได้ประชุมในเรื่องนี้เพื่อหาแนวทางดำเนินการต่อไป และได้ประสานขอให้ยื่นอุทธรณ์แล้ว
นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต อดีตผู้อำนวยการ อคส. ซึ่งเป็นผู้พบเงินของ อคส.หายไปจากบัญชีธนาคาร 2,000 บาท และยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า วันแรกที่ทำงานตำแหน่งผู้อำนวยการ อคส. วันที่ 10 ก.ย. 2563 พบความเสียหายแก่องค์กรสูงถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อมากว่าเงินสะสมกว่า 10 ปี หายไปอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน และตลอดระยะเวลา 3 ปีครึ่งที่ดำรงตำแหน่ง ได้ติดตามเรียกทรัพย์สินคืนให้ได้มากที่สุด รวมถึงดำเนินการให้ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างตรงไปตรงมาในทุกช่องทางอย่างเต็มกำลัง
“ผลของคดีในเบื้องต้น ย่อมสร้างความกดดันทั้งแก่ผม และคณะทำงานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ขอกราบขอบพระคุณท่านอธิบดีศาลอาญาคดีทุจริตฯ ที่ให้ความเห็นแย้งไว้ ซึ่งเป็นคุณอนันต์ต่อผมและคณะทำงาน ให้มีกำลังใจดำเนินตามวิถีทางที่ถูกต้องต่อไป เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการอุทธรณ์ในเวลาที่กำหนด เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะตอนนี้ เจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่ง คงสับสนว่าการฝ่าฝืนระเบียบ กฎหมาย และข้อบังคับอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น ไม่มีความผิดทางอาญาจริงหรือไม่ และเพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องต่อสังคมต่อไป”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ กับพวกรวม 21 คน เพราะพฤติกรรมการจัดซื้อถุงมือยาง เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานรัฐและประโยชน์สาธารณะ และเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษายกฟ้อง แต่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีความเห็นแย้ง และไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว พบว่าการจัดซื้อถุงมือยางก่อให้เกิดความเสียหายต่อ อคส. แม้ติดตามเงินกลับคืนมาได้ แต่ยังเหลืออีกกว่า 1,000 ล้านบาทที่ไม่สามารถติดตามคืนมาได้ ซึ่ง พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ เจ้าหน้าที่ อคส.ที่ถูกฟ้อง และบริษัทคู่สัญญาบางรายมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายนี้ ส่วนจำเลยที่เหลือก็มีบทบาทที่ทำให้ อคส.เสียหายลดหลั่นกันลงมา และได้ประโยชน์จากการกระทำผิดลดหลั่นกันไป
ดังนั้น จำเลยแต่ละคนต้องมีความรับผิด หรือโทษในทางอาญาหนักหรือเบาเพียงใด หรือรอลงอาญาหรือไม่ ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง หรือขั้นตอนที่ต้องพิจารณาตามสัดส่วน แต่ศาลคดีอาญาฯ ไม่ควรยกฟ้องจำเลยทุกคน เพราะเกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเกิดจากพฤติการณ์ที่ไม่สุจริต อันถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดโดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีแพ่ง อคส.ได้ฟ้องพนักงานและเจ้าหน้าที่รัฐรวม 7 ราย รวมความเสียหาย 2,000 ล้านบาท และดอกเบี้ยราว 3 ล้านบาท โดยรายที่ 1-4 ฟ้องรายละ 400 ล้านบาท และรายที่ 5-7 รวมกัน 400 ล้านบาท แต่ศาลได้พิพากษาให้รายที่ 3-4 ชดใช้คนละ 360 ล้านบาท และรายที่ 5-7 รวมกัน 360 ล้านบาท หรือคนละ 120 ล้านบาท เพราะ อคส.ได้รับเงินคืนแล้ว 200 ล้านบาท โดยรายที่ 1 ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ได้โอนคดีไปยังศาลปกครอง ขณะที่รายที่ 2 ซึ่งได้แก่ พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ เป็นบุคคลล้มละลาย