“โฮปเวลล์” โต้ไม่มีสินบนใต้โต๊ะ "หมื่นล้าน" ล้มคดีหลังถูกกล่าวหา ทีมที่ปรึกษา ดับเครื่องชนขบวนการใส่ร้ายป้ายสีเปิดโปงพฤติกรรมสมรู้ร่วมคิดล้มล้างคำพิพากษา พร้อมยื่นศาลปกครองสูงสุด สู้ปม "ขาดอายุควา" ชี้ศาล รธน.ไม่มีผลผูกพันคดีถึงที่สิ้นสุดแล้ว พร้อมยื่นประธานสภาฯ หาทางแก้ปัญหาก้าวก่ายโครงสร้างอำนาจ ระบบยุติธรรม
วันที่ 29 ก.ย. 2568 นายสัญญา สถิรบุตร อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในฐานะที่ปรึกษา บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด และเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เปิดแถลงข่าวถึงประเด็นโฮปเวลล์ หัวข้อ “ฆ่าโง่..จุดหักเหโฮปเวลล์ : ภัยคุกคามอธิปไตยของชาติ” โดยมีการเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกของนายคอลลิน เวียร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ระบุว่า กรณีมีข้อกล่าวหาการติดสินบนด้วยเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อล้มคดี เป็นข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จอย่างสิ้นเชิง
“โดยนายคอลลินยืนยันว่าบริษัทโฮปเวลล์ฯ เป็นบริษัทมหาชน ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สากล ให้การเคารพต่อกฎหมาย ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด และยึดถือการดำเนินกิจการด้วยความสุจริตโปร่งใส ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการกระทำใดๆ ก็ตามที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดสินบน”
นายสัญญา สถิรบุตร อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในฐานะที่ปรึกษา บริษัท โฮปเวลล์ กล่าวว่า กรณีโฮปเวลล์ มีเบื้องลึกที่ใช้กลเกมบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม มีความพยายามสมคบคิดกันใช้อำนาจโดยมิชอบ ภายใต้กลไกอำนาจฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ คุกคามอำนาจตุลาการ มุ่งหวังผลล้มล้างคำพิพากษาที่เป็นที่สุดและเด็ดขาดแล้ว เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบยุติธรรม และทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนเพราะไม่มั่นใจว่าเมื่อเกิดข้อพิพาทแล้วจะมีการปฏิบัติตามคำพิพากษา การที่นักลงทุนไม่เชื่อมั่นกระทบต่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ
โดยเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 ตนพร้อมด้วยนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล นายอันวาร์ สาและ ซึ่งเคยทำหน้าที่ในสภาทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลหลายสมัย ได้ยื่นหนังสือต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อขอให้พิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาหาทางป้องกันและแก้ไข มิให้มีขบวนการใดๆ ที่จะเข้ามาแทรกแซง บิดเบือน กลไกกระบวนการอำนาจหลักของประเทศ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ที่ก่อให้เกิดความรวนเรและสับสน กระทบต่อความเชื่อถือและความเชื่อมั่นอย่างร้ายแรงเหตุเพราะเกิดการก้าวก่ายในอำนาจซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากคดีโฮปเวลล์ที่มีข้อน่าสังเกตที่สะท้อนพฤติการณ์ไม่เคารพคำตัดสินของศาล โดยเมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เมื่อเดือน เม.ย. 2562 ที่สั่งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ คืนเงินลงทุนและเงินค่าตอบแทนตามสัญญาก่อสร้างโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) จำนวน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย แก่บริษัทโฮปเวลล์ฯ ภายใน 180 วัน คดีถึงที่สิ้นสุดแล้ว แต่มีการแทรกแซง โดยฝ่ายบริหาร ในขณะนั้นได้มีการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 ลงวันที่ 20 มิ.ย. 2562 ตั้งคณะทำงานตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานกรณีโฮปเวลล์ โดยระบุเหตุผลเนื่องจากผลของคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่รัฐ....
นายสัญญากล่าวว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 เป็นเหมือน "สารตั้งต้น" นำไปสู่กระบวนการล้มล้างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ผ่านกระบวนการผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีกระทรวงคมนาคมและ รฟท.ที่เป็นหน่วยงานรัฐ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน โดยการอ้างสิทธิตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
“การกระทำดังกล่าว ซึ่งน่าเชื่อว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ช่ำชองกลเกมกฎหมายคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ฟอกดำเป็นขาว ตบตาประชาชน ทั้งที่การกระทำในลักษณะดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการกระทำขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน เนื่องจากกระทรวงคมนาคมและ รฟท.เป็นหน่วยงานรัฐ ไม่มีสิทธิใดๆ ตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ ตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งในเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 213 “กรณีที่มีการกระทำในลักษณะที่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชน รัฐธรรมนูญให้การรับรองและคุ้มครองไว้ คำถามคือ การรถไฟฯ ไม่ใช่ประชาขน”
อีกทั้งตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว และตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 37(2) มีใจความสำคัญระบุว่าเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว ห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา ซึ่งคดีโฮปเวลล์ ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีผลผูกพัน
นายสัญญากล่าวว่า นอกจากนี้ คณะทำงานตรวจสอบฯ ตามคำสั่ง ที่ 143/2562 ใช้เวลาเพียง 30 วัน บอกว่า บริษัท โฮปเวลล์ฯ จดทะเบียนจัดตั้งไม่ถูกต้อง เป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารประวิงเวลาไม่จ่ายเงินตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ซึ่งโฮปเวลล์ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งในประเด็นดังกล่าว จนเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2567 หรือ 5 ปีต่อมา ศาลมีคำสั่งว่า บริษัทฯ จดทะเบียนถูกต้อง ยืนยันว่าบริษัทไม่ได้ทำผิด แต่พยายามหาทางให้ผิด จึงไม่ยุติธรรม ทั้งๆ ที่โครงการนี้เอกชนเอาเงินมาลงทุนให้รัฐทั้งหมด และโฮปเวลล์ไม่ได้ทำอะไรผิดสัญญา
@ยื่นศาลปกครองสูงสุด สู้ปม "ขาดอายุความ"
ส่วนประเด็นคดีขาดอายุความนั้น นายสัญญากล่าวว่า เกิดขึ้นหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินแล้วเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริงคดีไม่ได้ขาดอายุความ ตามมติที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดที่ 18/2545 แต่มีองค์คณะใหม่มาพิจารณาว่าขาดอายุความ ทางโฮปเวลล์จึงยื่นอุทธรณ์ ขอความเป็นธรรมประเด็นคดีไม่ขาดอายุความแล้วเช่นกัน
โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) ระยะทาง 60.1 กม.เป็นโครงการที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้สิทธิดำเนินการภายใต้สัมปทานการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีอายุสัมปทาน 30 ปี ระหว่างวันที่ 6 ธ.ค. 2534-5 ธ.ค. 2562 มีมูลค่าการลงทุน 80,000 ล้านบาท โดยผู้รับสัมปทานต้องรับผิดชอบจัดหาเงินลงทุนเองทั้งหมด ควบคู่กับการจ่ายค่าตอบแทนสัมปทานแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ตามสัญญาสัมปทาน ถูกการรถไฟฯ และกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2541 โดยอ้างเหตุผู้รับสัมปทาน ดำเนินโครงการล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา 27 พ.ย. 2547 บริษัทโฮปเวลล์ฯ ยื่นร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ด้วยเหตุถูกบอกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม และคณะอนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดให้การรถไฟฯ และกระทรวงคมนาคม คืนเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ ลงทุนไปแล้ว ให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ฯ
การรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคมร้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเป็นที่สุดเมื่อเดือน เม.ย. 2562 สั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคม คืนเงินลงทุนและเงินค่าตอบแทนตามสัญญาฯ จำนวน 11,888 ล้านบาท และดอกเบี้ยให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ฯ เนื่องจากสัญญาระหว่างกันได้ยุติลงแล้ว