“สุริยะ” ชง ครม.10 มิ.ย.นี้ขอเพิ่มงบ "สายสีแดง" ช่วงบางชื่อ-รังสิต บางชื่อ-ตลิ่งชัน อีก 8.7 พันล้านบาท มัดรวมแพ้คดีค่า VO สัญญา 1 และขยายเวลาสัญญา 1, 2 ดันยอดรวมพุ่ง 1.04 แสนล้าน "วีริศ" เผยเจรจาผู้รับจ้างยืนตัวเลขตามคำสั่งศาล ขณะที่ผลสอบไร้คนผิด สั่งงานเพิ่มตามความจำเป็น
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรณีข้อพิพาทโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ประเด็นค่าก่อสร้างสัญญา 1 งานปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม (Variation order - VO) ซึ่งอนุญาโตตุลาการชี้ขาดและศาลปกครองมีคำพิพากษาแล้ว ซึ่งทางคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (บอร์ด รฟท.) มีมติเห็นชอบในการปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติมสำหรับโครงการรถไฟสายสีแดงเพื่อจ่ายค่างานสัญญาที่ 1 ตามคำสั่งศาลแล้ว ขณะนี้ได้เสนอเรื่องไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 นี้ ในการจัดหาแหล่งเงินและดำเนินการให้ทันกำหนดที่ศาลสั่งบังคับคดี 60 วัน ซึ่งจะครบในวันที่ 9 ก.ค. 2568
“คดีถึงที่สุด บอร์ด รฟท.พิจารณาเสนอมาที่กระทรวงคมนาคม ตรวจสอบและนำเสนอ ครม.พิจารณาและคลังจะพิจารณาแหล่งเงินให้ ขณะที่จะต้องมีการเจรจากับเอกชนด้วย” นายสุริยะกล่าว
สำหรับการขยายกรอบวงเงินรถไฟสายสีแดง ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 (งานโยธา สำหรับสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ตามคำสั่งศาลปกครอง ค่างานเพิ่มเติม (VO) และสัญญาที่ 2 และ 3 ที่เป็นค่างานที่เพิ่ม รวมประมาณ 8,700 ล้านบาท ทำให้กรอบวงเงินโครงการรวมเพิ่มจาก 96,868 ล้านบาท เป็น 104,445 ล้านบาท
ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. กล่าวว่า หลังจากศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568 ให้ รฟท.ชำระค่างานเพิ่มเติม สัญญาที่ 1 (งานโยธา สำหรับสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) รฟท.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเจรจากับกิจการร่วมค้า เอส ยู มี บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) และบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ที่เป็นผู้รับจ้าง เพื่อตรวจสอบรายการและค่าใช้จ่ายรวมถึงปรับลดค่าดอกเบี้ยซึ่งทางผู้รับจ้างยืนยันตัวเลขที่ยื่นต่อศาล ไม่สามารถปรับลดให้ได้ รฟท.จึงสรุปและเสนอบอร์ด พิจารณาเห็นชอบแล้วจึงนำเรื่องส่งต่อไปที่กระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาและเสนอครม.ตามขั้นตอน
“เชื่อว่าหาก ครม.มีมติอนุมัติแล้วจะทำให้มีความชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นแก่เอกชนเรื่องการชำระค่างาน VO และคาดว่าจะสามารถเจรจาเพื่อขอหยุดคิดเรื่องดอกเบี้ยไว้ก่อนได้”
@ผลสอบคำสั่งงานเพิ่มเติมไม่พบคนผิดชี้ The Engineer มีอำนาจ
นายวีริศกล่าวว่า กรณีตรวจสอบกรณีผู้ออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมงานรถไฟสายสีแดง จนทำให้มีค่าก่อสร้างเพิ่มนั้น ก่อนหน้านี้ รฟท.มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว โดยมีนักวิชาการ และมีอัยการร่วมด้วย ซึ่งผลการตรวจสอบครั้งนั้นระบุว่า The Engineer มีอำนาจในการออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงงาน เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japanese International Cooperation Agency: JICA) และการออกคำสั่งดังกล่าวมีเหตุผลความจำเป็นรองรับ จึงเป็นคำสั่งโดยชอบไม่เช่นนั้นจะทำให้การทำงานในโครงการต่อไม่ได้ เช่นกรณีที่ต้องมีการย้ายพวงราง ย้ายสถานีบางซื่อเดิม ในระหว่างการก่อสร้างสายสีแดง
“วันนี้ต้องมุ่งไปที่ประเด็นจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยตามคำสั่งศาลก่อน ส่วนในภาพรวม ผมจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง ว่า ทุกกระบวนการที่รฟท.ได้ดำเนินการมาในกรณีรถไฟสายสีแดง มีใครหรือจุดใดที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ ในการที่จะต้องจ่ายเงินค่างานและดอกเบี้ยหลังจากนี้ เป็นกระบวนการที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ เพื่อยืนยันขั้นตอนทั้งหมดว่ามีการดำเนินการอย่างถูกต้องแล้วหรือยัง ก่อนที่จะมีการจ่ายเงินและดอกเบี้ย” ผู้ว่าฯ รฟท.กล่าว
สำหรับข้อพิพาทโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน สัญญาที่ 1 สิ้นสุด เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568 หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 79/2564 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 79/2565 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2565 ให้ การรถไฟฯ ชำระเงินให้ กิจการร่วมค้าเอส ยู กรณีไม่ปฏิบัติตามสัญญา ตามคำสั่งเปลี่ยนแปลงงาน (VO) จำนวน 4,204,286,694.83 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 27,654,882.90 บาท และให้รฟท.ปฏิบัติตามคำชี้ขาด คณะอนุญาโตตุลาการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด (โดยศาลจะเริ่มบังคับคดีในวันที่ 11 พ.ค.. 2568 ครบกำหนด 60 วัน ในวันที่ 9 ก.ค. 2568