สกพอ.ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงการลงทุน (LOI) กับ 7 บริษัทชั้นนำจากพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area : GBA) สร้างโอกาสการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซี คาดว่ามีเงินลงทุนรวม 4,340 ล้านบาท
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. ร่วมลงนาม หนังสือแสดงเจตจำนงการลงทุน (LOI) ระหว่าง สกพอ.กับ 7 บริษัทชั้นนำจากพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area : GBA) โดยมีนายกาจฐิติ วิวัธวานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ดร.ภัณฑิล จงจิตรตระกูล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ และประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมและติดตามการลงทุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พร้อมด้วยผู้บริหาร สกพอ. และผู้บริหารสมาคม SIDTA ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามฯ
ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนจีนต่อศักยภาพของประเทศไทย และพื้นที่อีอีซีในฐานะศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ของเอเชีย โดยคาดว่าจะเกิดเงินลงทุนรวมประมาณ 4,340 ล้านบาท
การลงนาม LOI ดังกล่าวเป็นกิจกรรมไฮไลต์สำคัญ ภายในการจัดงาน “Thailand-GBA Investment Gateway 2025: Unlock EEC Opportunities Forum” ณ สถานกงสุลใหญ่ นครกว่างโจว ซึ่งเป็นการจัดงานร่วมกันระหว่าง สกพอ. สมาคมการค้าส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-จีน (SIDTA) และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว โดยมีการรวมตัวของภาครัฐและเอกชน พร้อมพันธมิตรด้านการลงทุน เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ GBA เข้าสู่พื้นที่อีอีซี ในโอกาสเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนจีนอย่างคับคั่งจากบริษัทชั้นนำ 49 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
นายกาจฐิติ วิวัธวานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนในระดับ “หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” (Comprehensive Strategic Partnership) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การค้าการลงทุนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะกับมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นมณฑลที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของจีน มีมูลค่าการค้ากับไทยคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าการค้าทวิภาคีไทย-จีน
“ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่เชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ซึ่งเป็นทำเลเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงทางโลจิสติกส์ เช่น ท่าเรือแหลมฉบังที่เป็นประตูสู่การค้าในภูมิภาค และการมีความตกลงการค้าเสรีกว่า 15 ฉบับ ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสามารถเข้าถึงตลาดกว่า 19 ประเทศแบบปลอดภาษี”
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ. กล่าวว่า ประเทศไทยต้องการยกระดับให้พื้นที่อีอีซีเป็นศูนย์กลางการลงทุนระดับโลก ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลครอบคลุมมาตรการจูงใจด้านภาษี เขตปลอดอากร การอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่า การจัดสรรที่ดินที่เหมาะสม และการลดขั้นตอนอนุญาตต่างๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่เป็นมิตรอย่างแท้จริง
โดย สกพอ.มุ่งมั่นผลักดันการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การแพทย์และสุขภาพครบวงจร และการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ โดยอีอีซีไม่ใช่แค่โครงการไทย แต่เป็นโอกาสของภูมิภาค ที่จะสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในอนาคต
Dr. Zonglin Guo นายกสมาคม SIDTA กล่าวว่า SIDTA มีบทบาทสำคัญในการเป็น “สะพานเชื่อม” นักลงทุนจีนกับประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC เพื่อให้การลงทุนราบรื่น มั่นคง และยั่งยืน ในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองแห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ที่จะผลักดันความเชื่อมั่นและการเติบโตอย่างยั่งยืนของทั้งสองประเทศ
SIDTA ไม่ได้เป็นเพียงผู้ประสานงาน แต่ดำเนินงานในลักษณะ One-Stop Solution เชื่อมโยงนักลงทุนกับข้อมูล สิทธิประโยชน์ และเครือข่ายพันธมิตรครบวงจร อีกทั้ง SIDTA ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อร่วมกันอำนวยความสะดวกการลงทุนของนักลงทุนจีนและต่างชาติ กับ สกพอ. ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ สร้างการจ้างงาน ยกระดับเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
สำหรับการจัดงานฯ ครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความร่วมมือไทย-จีน ภายใต้บริบทความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยการเชื่อมโยงกับ Greater Bay Area ของจีนจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ และผลักดันให้อีอีซีก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนคุณภาพสูงของภูมิภาคต่อไป