xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ส.ค. 68 ดิ่งต่ำสุดรอบ 39 เดือน ลุ้น “คนละครึ่ง” พยุงกำลังซื้อปลายปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ เดือนสิงหาคม 68 ร่วงต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 86.4 ต่ำสุดในรอบ 39 เดือน เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง การเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 ล่าช้า ความไม่แน่นอนภาษีสหรัฐฯ และการปิดด่านไทย-กัมพูชา ลุ้น ‘คนละครึ่ง’ ช่วยพยุงกำลังซื้อปลายปี และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 86.4 โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนกรกฎาคม 2568 และต่ำสุดในรอบ 39 เดือน การปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายหลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้สถานะนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง การเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-สิงหาคม 2568) มีการเบิกจ่ายล่าช้า ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราภาษีของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Regional Value Content (RVC) หรือสินค้าที่เปิดตลาดให้สหรัฐฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและนำเข้า อีกทั้งสถานการณ์การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้การค้าชายแดนได้รับผลกระทบ คาดว่าเกิดการสูญเสียมูลค่าทางการค้าในเดือนสิงหาคมกว่า 14,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกัน ยังพบว่าสถานการณ์น้ำท่วมซ้ำซากจากพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าและการเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงการที่แรงงานกัมพูชาทยอยเดินทางกลับประเทศ นำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะสั้นในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น


นายนาวากล่าวว่า ดัชนีเชื่อมั่นฯ ในเดือนสิงหาคมยังมีปัจจัยบวกหลายประการ ได้แก่ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี รัฐบาลอนุมัติงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.85 หมื่นล้านบาท โดยจัดสรร 1 หมื่นล้านบาทเข้าสู่กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการจัดงาน BIG Motor Sale 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า


นางสาวบัญชุสา พุทธพรมงคล กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และรองประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ ส.อ.ท. กล่าวว่า จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,350 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนสิงหาคม 2568 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 72.6% นโยบายภาครัฐ 60.4% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 45.7% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก 61.0% การเข้าถึงสินเชื่อ 35.1% ราคาพลังงาน 32.4% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 26.1%

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 88.9 ลดลงจาก 89.2 ในเดือนกรกฎาคม 2568 เนื่องจากความกังวลต่อความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจกระทบต่อการดำเนินนโยบายสำคัญ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ การแก้ปัญหาชายแดน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอุปสงค์จากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง หลังการบังคับใช้มาตรการ Reciprocal Tariff ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทย ประกอบกับความเสี่ยงการถูกเก็บภาษี 40% จากความไม่ชัดเจนของเงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า


ส่วนปัจจัยบวกที่คาดว่าจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง คาดว่าจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง High season (ช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568) คาดว่าจะส่งผลดีต่อการใช้จ่าย และการบริโภคสินค้า

นายนาวากล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ คือ 1. เสนอให้ภาครัฐเร่งติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariff โดยเฉพาะประเด็น Regional Value Content (RVC) รวมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมในการรับมือผลกระทบ

2. ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านรายจ่ายลงทุนในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2568 เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569

3. เสนอให้ภาครัฐเร่งรัดการออกมาตรการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น สามารถนำรายจ่ายค่าขนส่งและโลจิสติกส์ส่วนเพิ่มมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า เป็นต้น

 4. ขอให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำวัสดุที่เหลือใช้และผลิตภัณฑ์พลอยได้ไปใช้ประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)


กำลังโหลดความคิดเห็น