ภาคเอกชน “สภาหอการค้า-ส.อ.ท.” ห่วงเศรษฐกิจชะงักงันและนักลงทุนรอดูท่าที (wait and see) จากความไม่แน่นอนทางการเมือง ย้ำต้องการความชัดเจนโดยด่วน ชี้รัฐบาลใหม่ที่มีคนเก่ง ดีและมีความสามารถเพื่อแก้ปัญหาทั้งใน และต่างประเทศ ส.อ.ท.ห่วงการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 ทำได้แค่ 50% ส่วนงบฯ ปี 69 หากตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้จะมีปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณ มีผลต่อการขับเคลื่อนการลงทุนลำบาก
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภาวะชะงักงันสืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งภาคเอกชนต้องการความชัดเจนทางการเมืองโดยด่วน ต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ และมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีความสามารถ เพื่อมาบริหารประเทศในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก
มองว่าการมีรัฐบาลรักษาการที่มีวาระสั้นๆ ไม่ใช่ทางออก เพราะนโยบายเศรษฐกิจสำคัญหลายอย่างต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนระยะยาว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในมุมมองภาคเอกชนถ้าการเมืองไม่ลงตัวมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ หรือรอไปอีก 4 เดือนค่อยยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ความจริงแล้วความไม่แน่นอนที่ยาวเกินไปล้วนไม่ส่งผลดี นักธุรกิจต้องให้จบเร็วตั้งเร็ว ขณะเดียวกันคนที่จะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องการคนดี คนเก่งและมีความรู้ความสามารถ กล้าตัดสินใจเพื่อมาแก้ปัญหาต่างๆ
เมื่อถามถึงทางออกระหว่างการยุบสภาทันที กับการรออีก 3-4 เดือน ไม่ว่าอย่างไหน นักลงทุนรอดูท่าที (wait and see) ขณะที่ภาคราชการก็จะทำแบบชะลอๆเพื่อรอดูท่าที ไม่ถึงกับเกียร์ว่าง แต่ก็ไม่มีอัตราเร่ง ดังนั้นหากยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้งใหม่ หากคิดแบบไม่มีอะไรสะดุดไหลลื่นก็ใช้เวลาราว 6 เดือนจึงได้รัฐบาลใหม่ แต่หากรอไปอีก 4 เดือนแล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ จะใช้เวลานานถึง 9-10 เดือนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจน ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี การเมืองที่ไร้เสถียรภาพส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ซึ่งปัจจุบันผ่านมา 11 เดือนแล้วเบิกจ่ายได้เพียง 50% ต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยทำได้ในอดีตถึง 60-70% ทำให้เม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจขาดหายไปอย่างน่าเป็นห่วง ส่วนงบประมาณปี 2569 หากยังไม่มีรัฐบาลใหม่การเบิกจ่ายงบก็ทำได้จำกัดตามกรอบ การขับเคลื่อนการลงทุนก็จะลำบาก นอกจากนี้ การเจรจาทางการค้าที่สำคัญ เช่น การเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ก็อาจสะดุดลงได้ หากไม่มี ครม.มารับเรื่องเข้าสภาฯ
ทั้งนี้ กกร.ยืนยันว่าถึงแม้สถานการณ์การเมืองจะมีความเสี่ยงสูง แต่ภาคเอกชนก็พร้อมที่จะเดินหน้าร่วมมือกับภาครัฐ โดยเฉพาะการผลักดันแพลตฟอร์ม "Reinvent Thailand" ที่ได้ร่วมกับภาครัฐพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือน และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง