หลังจากวางมือทางการเมืองไประยะหนึ่ง หลายๆ ท่านคงอยากทราบว่า “นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง หายหน้าหายตาไปไหน และขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งปรากฏว่านายสนธิรัตน์ไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในแวดวงการเมือง แม้จะไม่ได้ออกมาอยู่หน้าแถวเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็อยู่เบื้องหลัง พยายามที่จะขับเคลื่อนการเมืองในอุดมคติ ที่อยากให้การเมืองใสสะอาด ขับเคลื่อนประเทศอย่างโปร่งใส มุ่งให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่วางมือจากเรื่องการเมือง ก็ยังคงช่วยขับเคลื่อนธุรกิจที่เคยทำมา แต่ก็ได้เริ่มส่งไม้ต่อให้บุตรชาย นายสรวิช สนธิจิรวงศ์ ให้เข้ามาบริหารธุรกิจแทน และสนับสนุนการริเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ โดยที่ตัวเองหันมาอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับที่หันไปอยู่เบื้องหลังในเรื่องการเมือง
เปิดธุรกิจที่เคยทำ
นายสนธิรัตน์เล่าว่า "ได้เริ่มทำธุรกิจเครื่องครัวประมาณปี 2550 แต่กว่าจะทำธุรกิจนี้ มีที่มาที่ไป คือตอนนั้นผมมีชื่อเสียงเหมือนเป็นซินแสของธุรกิจ เป็นหมอธุรกิจ ที่จะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาให้กับภาคธุรกิจ ใครมีปัญหาอะไรก็มาปรึกษา และผมเข้าไปช่วยแก้ไข ก็เลยมีเจ้าของบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนนำเข้าและจำหน่ายเครื่องครัว Tecnogas จากอิตาลี ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ดังมากทั่วยุโรป เขาทำตลาดมาเป็น 20 ปี แต่ทำยอดขายต่อปีได้แค่ 50 ล้านบาท และยังประสบปัญหาขาดทุน เขาไปต่อไม่ไหว ผมก็เข้าไปช่วยแนะนำ และหาทางแก้ไขปัญหาให้กับธุรกิจ แต่สุดท้าย จากที่เป็นคนแนะนำ เขาเสนอให้ผมไปทำแทน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจเครื่องครัวนำเข้า
ตอนนั้นหลังจากเข้าไปเป็นผู้บริหาร Tecnogas แล้ว ได้ทำการวิเคราะห์ตัวสินค้า ตลาดเครื่องครัวโดยรวมในประเทศ และแนวโน้มในอนาคต เห็นว่ายังมีโอกาสเติบโต เพราะยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญต่อเครื่องครัว โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้สูง จึงได้ตั้งบริษัท เดอะ ซิกเนเจอร์ แบรนด์ จำกัด ขึ้นมา แล้วไปเสาะหาแบรนด์เครื่องครัวระดับโลกที่มีขายอยู่ในต่างประเทศเอาเข้ามาขายในไทย ปัจจุบันมี 7-8 แบรนด์ เป็นแบรนด์ระดับหรูทั้งหมด เช่น Elica, Barazza, Fabita และ Chambord เป็นต้น"
ผลการดำเนินงาน ปรากฏว่าปีแรกทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท ปีที่ 2 ขยับขึ้นไปเป็น 200 ล้านบาท ปีที่ 3 เพิ่มเป็น 300 ล้านบาท เติบโตขึ้นทุกๆ ปี จนปี 2557 รายได้ต่อปีขยับขึ้นไปเป็น 800 กว่าล้านบาท จากนั้นได้เข้ามาสู่เวทีการเมือง จึงได้ลาออกจากบริษัท และให้ลูกเข้ามาบริหารแทน จนวันนี้รายได้ก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับปีละ 1,000 ล้านบาท
ส่วนงานและธุรกิจอื่นๆ ที่เคยทำ มีทั้งเป็นลูกจ้าง ขยับเป็นเจ้าของกิจการ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำสกินแคร์ เข้าไปช่วยฟื้นฟูโรงพยาบาลยันฮี จนเป็นยันฮีได้อย่างทุกวันนี้
“สมคิด” ชวนมาเล่นการเมือง
นายสนธิรัตน์กล่าวอีกว่า ก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมือง ก็อย่างที่บอก เคยทำธุรกิจหลายอย่าง และเริ่มเข้ามาสัมผัสการเมืองช่วงการทำงานร่วมกับมูลนิธิสัมมาชีพ ตอนนั้นได้มีโอกาสรู้จักนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และหมอประเวศ วะสี ตอนทำมูลนิธิฯ ด้วยกัน ความคิดตอนนั้น อยากช่วยเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง จากนั้นนายสมคิดได้ให้โอกาสเข้าสู่การเมืองทีละขั้น เริ่มจากเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป ที่ปรึกษารัฐมนตรี จนได้มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ตอนที่อยู่กระทรวงพาณิชย์ ได้เดินหน้าวางรากฐานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ทั้งการผลักดันโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ฐานราก ผลักดันร้านโชวห่วยให้เข้มแข็ง ช่วยธุรกิจชุมชน ธุรกิจท้องถิ่น ให้มีโอกาสทำมาค้าขาย ดูแลสินค้าเกษตร จนมาอยู่ที่กระทรวงพลังงาน ก็วางรากฐานระบบพลังงานของประเทศ มุ่งสร้างความเป็นธรรมในการใช้พลังงาน
ตอนนี้แม้จะไม่ได้สวมหมวกการเมืองแล้ว แต่ยังมีความคิด มีความพยายามที่จะมุ่งช่วยเหลือเกษตรกร และเศรษฐกิจในระดับฐานรากอยู่ โดยสิ่งที่กำลังทำ อาทิ คุยกับกลุ่มเกษตรกร และบริษัทนำเข้าสินค้าไทยในต่างประเทศ ทำโปรเจกต์นำร่องสินค้าคุณภาพ ยกตัวอย่างเช่น ทุเรียน เราจะคุยกับเกษตรกรผู้ปลูก ผลิตทุเรียนคุณภาพ คุยกับผู้นำเข้า หากมาซื้อกับเจ้านี้ จะได้ของดี มีคุณภาพ ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่
หลังเลิกเล่นการเมืองคิดทำธุรกิจใหม่
"ช่วงพ้นจากการเมือง นายสนธิรัตน์บอกว่า จะกลับมามุ่งทำธุรกิจต่อ โดยคิดว่าจะต่อยอดจากการทำธุรกิจเครื่องครัวได้อย่างไร พอดีไปได้บ้านเรือนไทยทรงปั้นหยา อายุเก่าแก่ 140 ปี ย่านสาทร พอทำสัญญาเช่าเรียบร้อย ตั้งใจจะเปิดเป็นร้านอาหารสไตล์ Chef’s Table แต่เกิดโควิด-19 ระบาด คิดว่าเปิดไปก็ไม่มีคนมารับประทานแน่นอน เลยปรับแผนเปิดเป็น CUCINA Galleria โชว์รูมเครื่องครัวระดับไฮเอนด์สัญชาติอิตาลีและฝรั่งเศส ใครที่ต้องการชุดครัวระดับไฮเอนด์มาที่นี่ได้ มีตั้งแต่ชุดหลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท และมีห้องครัวทำอาหารแบบให้ลูกค้าได้เข้ามาชม และทดลองใช้งานจริงได้ด้วย
ต่อมาพอโควิด-19 เบาลง ได้เริ่มขยับขยาย เพิ่มร้านกาแฟ Brave Roasters เป็นร้านที่การันตีด้วยรางวัลระดับประเทศและสากล รับรองว่ามาดื่มกาแฟที่นี่จะได้รับความประทับใจ และประสบการณ์ดื่ทกาแฟที่แตกต่างจากที่อื่นอย่างแน่นอน และยังได้เปิดบาร์ไวน์ มีลูกสาวเป็นผู้ดูแล ซึ่งลูกสาวได้ไปเรียนและเพิ่มพูนความรู้เรื่องไวน์จากทั่วโลก สำหรับคอไวน์ต้องไม่พลาด
จากนั้นเมื่อโอกาสเหมาะ ก็เริ่มสานต่อธุรกิจที่เคยคิดจะทำไว้ก่อนหน้านี้ คือการเปิดร้านอาหารสไตล์ Chef’s Table ซึ่งผมได้ให้ลูกชาย (นายสรวิช สนธิจิรวงศ์) เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ผมจะทำหน้าที่แค่เป็นผู้ให้คำปรึกษา อยากให้เขาได้ลองผิดลองถูก อยากให้ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยตัวเอง และขณะนี้ร้านพร้อมที่จะเปิดให้บริการแล้วช่วงเดือน ก.ค. 2568"
“สรวิช” คีย์แมนลุยร้าน SAMAS
นายสรวิช สนธิจิรวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจและจัดซื้อ บริษัท เดอะ ซิกเนเจอร์ แบรนด์ จำกัด เล่าเสริมนายสนธิรัตน์ว่า "ก็อย่างที่บอก ธุรกิจของครอบครัวคือขายเครื่องครัว ผมรับผิดชอบจัดหาเครื่องครัวดีๆ แบรนด์ดังๆ จากยุโรปเข้ามาจำหน่าย หาเสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนพูดได้ว่าเป็นบริษัทที่ขายเครื่องครัวไฮเอนด์อย่างครบวงจรของประเทศ มีแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ที่มีความโดดเด่นทั้งด้านนวัตกรรม การดีไซน์ และคุณภาพมาตรฐาน มาไว้ที่เดียวกัน
เมื่อเรามีโชว์รูมเครื่องครัวที่ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ก็มาคิดต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ มองว่าเมื่อลูกค้ามาดูเครื่องครัวแล้ว อยากให้มีอะไรรองรับ ก็มาเปิดร้านกาแฟ และเปิดบาร์ไวน์ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มาชมเครื่องครัว แล้วได้ดื่มกาแฟที่มีคุณภาพ จิบไวน์คุณภาพ พอมีลูกค้า ก็เริ่มถามหาอาหาร จึงเป็นไอเดียมาเปิดร้านอาหารสไตล์ Chef’s Table จากนั้นได้คุยกับเชฟแนวฟิวชัน บางคนเคยอยู่ร้านมิชลินมาก่อน ก็มาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ จนเกิดเป็นร้าน SAMAS (ส-ม-า-ส)"
สำหรับคอร์สอาหาร จะมีทั้งหมด 6 คอร์ส มีเป็ดและเนื้อเป็นจานหลัก โดยจะเปลี่ยนเมนูอาหารทุกๆ 3 เดือน รอบหน้าก็จะเป็นปลาชนิดต่างๆ พื้นที่รับได้เพียง 20 ที่นั่ง ราคาอาหารคอร์สละ 2,200 บาท หากจะดื่มไวน์ด้วยบวก Wine Pairing อีก 1,500 บาท เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารกับไวน์ ซึ่งอาหารและไวน์จะมีการคัดเลือกอย่างเหมาะสม กินแล้วจะได้รสชาติของอาหาร และรสชาติของไวน์อย่างโดดเด่น โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือน ก.ค. 2568 นี้
ทั้งนี้ จุดเด่นของอาหาร จะใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น และสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อสนับสนุนเกษตรกร ชาวประมง ผู้ประกอบการชุมชน และยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอาหาร เพราะมีที่มาที่ไป สามารถขายความโดดเด่นของสินค้าท้องถิ่นได้ เพราะผู้บริโภคยุคปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญต่อแหล่งที่มาของวัตถุดิบและการตรวจสอบย้อนกลับ
เปิดรายละเอียดเมนู
สำหรับเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟให้แก่ลูกค้า เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย คือ Crap Tart ทำจากอะโวคาโด เนื้อปู, Tartare Toasted ทำจากเนื้อ และ Shrimp Ball ทำจากกุ้ง ต่อด้วย Ceviche ทำจากเนื้อปลา Consomme ทำจากมะเขือเทศ Riso ทำจากกุ้งลายเสือ และเมนคอร์สเป็นเป็ด หรือเนื้อ ปิดท้ายด้วยขนมหวาน Crispy Brix
ตั้งเป้าเป็นจุดหมายใหม่ต้องมาเช็กอิน
นายสรวิชบอกความคาดหวังของการขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่กำลังขับเคลื่อนว่า ผมกับพี่สาวเป็นสายกิน ตระเวนกินไปเรื่อยๆ มั่นใจว่ามีประสบการณ์เรื่องการกินพอควร ก็เลยอยากนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยใช้จุดแข็งของธุรกิจที่มีอยู่ เพราะมีครบทั้งเครื่องครัว กาแฟ ไวน์ พอเพิ่มอาหาร ก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างสมบูรณ์มากขึ้น ก็อยากที่จะเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ต้องการความแปลกใหม่ ให้มาทดลองใช้บริการ มาร้านนี้ มาได้ทุกวัน อยากแวะดื่มกาแฟก็เข้ามา ดื่มไวน์ก็มาได้ หรืออยากรับประทานอาหารสุดหรูก็มาได้
“การปรับรูปแบบการทำธุรกิจในครั้งนี้ เป็นการปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจโลก และเป็นการใช้สิ่งที่เรามีความถนัดอยู่แล้วมาต่อยอด เมื่อเราขายเครื่องครัว ก็เอาเครื่องครัวมาทำกาแฟ มาขายอาหาร โดยตั้งเป้าให้ร้านอาหารที่กำลังจะเปิดขึ้นมาเป็นจุดหมายปลายทางที่นักชิม คนที่ชื่นชอบอาหารสไตล์แปลกใหม่ต้องมาเช็กอิน และมาลิ้มลองประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ ในการรับประทานอาหารควบคู่กับไวน์ที่สรรหามาจิบกับอาหารแบบลงตัว” นายสรวิชกล่าว
สำหรับผู้ที่ต้องการลิ้มลองความแปลกใหม่ ทั้งจิบกาแฟ จิบไวน์ กินอาหารสไตล์ Chef’s Table สามารถแวะไปได้ที่ร้าน SAMAS ตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 หรือสอบถามผ่าน LINE OA @samas.bkk