ทอท.เริ่มขอคืนพื้นที่ดิวตี้ฟรี ขาออกบางส่วน 1 ก.ค.นี้ ยืนยันกระทบไม่มาก เพื่อเพิ่มพื้นที่บริการผู้โดยสาร ดันสนามบินของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีของโลก"กีรติ"มั่นใจรายได้ฟื้นกลับมาเท่าปี 62
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า ทอท.
การขอคืนพื้นที่ดิวตี้ฟรี ซึ่งจะเริ่มตั้วแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 โดยจะเป็นพื้นที่ขาออกบางส่วนจากคู่สัญญา เพื่อทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 80 ล้านคน/ปีในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันนอยู่ที่ 60 ล้านคน ดังนั้น ทอท. ต้องจัดเตรียมพื้นที่รองรับผู้โดยสารมากขึ้น โดยเป็นพื้นที่ให้ผู้โดยสารพักคอยมากขึ้น รวมถึงสนามเด็กเล่น และ Co-working Space และจัดพื้นที่ให้แม่และเด็กในการให้นมบุตร ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางในการให้บริการผู้โดยสารมากขึ้น โดยคาดว่าจะใช้งบปรับปรุงพื้นที่ประมาณ 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้การขอคืนพื้นที่จะกระทบกับรายได้ค่าเช่าพื้นที่ลดลงประมาณเดือนละ 90 ล้านบาท แต่เชื่อว่าบริษัทจะได้รับค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charges: PSC) ที่คิดอัตรา 730 บาท/คนเข้ามาชดเชย ทอท. มองว่า บริษัทไม่ได้เสียรายได้ เพราะทำให้มีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น โดยเฉพาะสนามบินที่มีต่างชาติเข้ามามาก คือสุวรรณภูมิ และภูเก็ต
โดยทอท. ขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของผู้ประกอบการ และพื้นที่ปฏิบัติงานของส่วนราชการบางส่วนภายในอาคาร Concourseและ SAT-1 ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวนรวมประมาณ 1,097.14 ตารางเมตร และภายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ในท่าอากาศยานภูเก็ต จำนวนรวม ประมาณ 491.22 ตารางเมตร รวมแล้วพื้นที่เช่าหายไป 8% ของพื้นที่ทั้งหมด
ส่วนการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้า รวมถึงยกเลิกการยกเว้นอากรสินค้าที่ซื้อจากร้าน Duty Free สำหรับผู้โดยสารขาเข้า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 2 ก.ค.2567 ที่ผ่านมา นายกีรติ กล่าวว่า ทอท. พร้อมที่จะยกลิกพื้นที่ดิวตี้ฟรีขาเข้าทุกสนามบิน เพื่อมาพัฒนาเป็นพื้นที่ส่วนกลางในการให้บริการผู้โดยสาร ซึ่งพื้นที่เชิงพาณิชย์ขาเข้ามีไม่มากรวมแล้วมีประมาณ 20% ของพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้งหมด และคิดเป็นรายได้ไม่ถึง 10% ของพื้นที่ขาออก ดังนั้น จึงไม่ได้กระทบกับรายได้ของ ทอท. อย่างมีนัยสำคัญ
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้กรมศุลกากรแจ้งมาว่าจะให้เริ่มเมื่อไรและอย่างไร จากนั้นก็จะเจรจากับคิงเพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้เช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่หากมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้เปลี่ยนแปลงผลตอบแทนตามสัญญาตามสัดส่วนพื้นที่
"การขอคืนพื้นที่ทั้งขาออกและขาเข้า เป็นไปตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่วางเป้าหมายผลักดันให้ท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก และเพิ่มศักยภาพของสนามบินให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 150 ล้านคนต่อปี เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub)"นายกีรติ กล่าว
@คาดปีนี้คาดว่าผู้โดยสารรวมได้เป้าหมาย 120 ล้านคน
นายกีรติ กล่าวว่า ทอท.มั่นใจรายได้ปี 67 (ต.ค.66-ก.ย.67) จะกลับมาเติบโตได้ใกล้เคียงปี 62 ที่มีรายได้รวม 6.5 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท หลังจากในงวดครึ่งปีแรก (ต.ค.66-มี.ค.67) ทำรายได้รวม 3.4 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.03 หมื่นล้านบาท เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารในปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 120 ล้านคน
ทั้งนี้ ช่วง 8 เดือนของงวดปี 67 (ต.ค.66-พ.ค.67) มีผู้โดยสารรวม 6 ท่าอากาศยาน เท่ากับ 81.05 ล้านคนฟื้นตัว 83.4% เมื่อเทียบกับช่วงปี 62 (ก่อนเกิดโควิด) และในปี 68 AOT คาดจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นไปแตะ 140 ล้านคนเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ AOT ที่ 55% มาจากรายได้จากกิจการการบิน (Aero) ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่จากกิจการการบิน (Non-Aero) อยู่ที่ 45% โดย Non-Aero นอกจากพื้นที่ให้เช่า AOT ก็ยังมีพื้นที่ Airport City ประมาณ 600 ไร่ และพื้นที่ 723 ไร่ ใกล้สนามบิน โดจะนำพื้นที่ Airport City มาให้สัมปทาน เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์ประชุม โรงแรม หรืออื่นๆ ที่สามารถเป็นรายได้ Non-Aro ได้ต่อไป ซึ่งคาดจะเปิดประมูลในปลายปีนี้ และปีหน้าคาดจะเซ็นสัญญาได้ ส่วนพื้นที่ 723 ไร่ ขณะนี้ได้เจรจากับผู้ประกอบการบางส่วน เพื่อจะพัฒนาเป็นโลจิสติกส์พาร์ค ศูนย์ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่การบินของสายการบิน
นายกีรติ คาดว่า AOT จะได้รับรายได้จากการให้เช่าพื้นที่ทั้ง Airport City และพื้นที่ 723 ไร่ ประมาณ 900 ล้านบาท/ปี คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 69 หรือ ปี 70