xs
xsm
sm
md
lg

“พิมพ์ภัทรา” ชี้ยอด 5 เดือนโรงงานเปิดใหม่สูงกว่าที่ปิดกิจการ 74%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รมว.อุตสาหกรรมเผยตัวเลขกรมโรงงานอุตสาหกรรม 5 เดือนแรกของปี 2567 พบว่ามีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน ขณะที่โรงงานเปิดกิจการใหม่มี 848 โรงงาน สูงกว่า 74% มีมูลค่าเงินลงทุนและการจ้างงานมากกว่าหลายเท่าตัว พร้อมกำชับหน่วยงานเร่งรัดมาตรการช่วยขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้มากขึ้น

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวการปิดกิจการโรงงานในปัจจุบันว่า จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2567 ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่าภาพรวมในปี 2567 ตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 2567 มีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน ขณะเดียวกันมีโรงงานเปิดกิจการใหม่ 848 โรงงาน โดยจำนวนโรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิดถึงร้อยละ 74 และเมื่อพิจารณามูลค่าเงินลงทุนจากการเลิกประกอบกิจการ พบว่ามีจำนวน 14,042 ล้านบาท ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีเงินลงทุนถึง 149,889 ล้านบาท ซึ่งมีเงินลงทุนมากกว่าปิดกิจการกว่า 10 เท่า

ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การปิดกิจการมีการเลิกจ้างงาน 12,551 คน ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีการจ้างงานถึง 33,787 คน ซึ่งมีความต้องการแรงงานมากกว่า 21,236 คน นอกจากนี้ เมื่อรวมกับโรงงานเดิมที่มีการขยายกิจการจะมีอีกจำนวนกว่า 126 โรงงาน เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,748 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 4,989 คน

อย่างไรก็ตาม สาเหตุการปิดกิจการโรงงานในปี 2567 มาจากสาเหตุมีคำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง เนื่องจากสินค้าที่ผลิตส่วนใหญ่เป็นสินค้าทั่วไป มีการแข่งขันด้านราคาและไทยมีความสามารถในการแข่งขันลดลงในสินค้าบางประเภท เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้มีสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในไทยมากขึ้น ขณะเดียวกัน การส่งออกก็ลดลงด้วยเพราะราคาสินค้าของไทยแพงกว่าประเทศอื่น แต่ก็ยังมีบางโรงงานที่ปิดกิจการเดิมและเปิดกิจการใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนการลงทุนไปสู่อุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ มีนักลงทุนบางส่วนได้ย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางการค้าที่มากขึ้นด้วย

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เลิกกิจการมีเงินลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 2,297 ล้านบาท (เช่น PCB) 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ 1,456 ล้านบาท (โครงสร้างเหล็ก) และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก 930 ล้านบาท (เช่น ชิ้นส่วนพลาสติก)

ส่วนกลุ่มโรงงานเปิดใหม่ที่มีเงินลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร 29,644 ล้านบาท (เช่น อาหารสัตว์สำเร็จรูป) 2. กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี 18,474 ล้านบาท (เช่น ปุ๋ยเคมี) และ 3. กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 12,378 ล้านบาท (เช่น PCB)

“เมื่อพิจารณากลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มกิจการที่อยู่ใน 3 อันดับแรกของมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดทั้งการเลิกกิจการและตั้งโรงงานใหม่ พบว่ามีเงินลงทุนในการเลิกกิจการ 2,297 ล้านบาท แต่มีการเปิดกิจการใหม่ด้วยเงินลงทุน 12,378 ล้านบาท มากกว่าเลิกกิจการถึง 5 เท่า แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่เข้ามาเปิดกิจการใหม่ในไทยมากขึ้น”

นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญต่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME จึงสั่งการให้กำหนดมาตรการเพื่อช่วยขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตและแข่งขันได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ผู้จัดหาวัตถุดิบ หรือผู้กระจายสินค้า โดยแบ่งออกเป็น มาตรการเร่งด่วน ระยะสั้น ประกอบด้วย เข้มงวดเรื่องการตรวจสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน, พัฒนาสมรรถนะแรงงานด้านเทคโนโลยีการผลิต โดยเน้นการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีศักยภาพรองรับการปรับตัวสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ และออกมาตรการกระตุ้นการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น ผู้บริโภคสามารถนำค่าใช้จ่ายมาใช้ในการลดหย่อนภาษี และการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมถึงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องของภาคอุตสาหกรรม

สำหรับมาตรการระยะยาว เป็นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมตอบโจทย์การต้องการของโลก (S-Curve) มุ่งสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี เช่น Smart Electronics, Next-Generation Automotive, Future Food รวมทั้งการแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ Green Productivity


กำลังโหลดความคิดเห็น