“สนธิรัตน์” เผยตลาดตะวันออกกลางเป็นตลาดที่น่าจับตามอง และมีศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการไทย ทั้งเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ แนะภาครัฐต้องสนับสนุน ส่วนเอกชนต้องปรับตัวพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการ ชม “ยักษ์เขียว” ตัวอย่างธุรกิจไทย ฉีกกรอบ มุ่งสู่โอกาสใหม่ในวิกฤตโลกร้อน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พาณิชย์ และอดีต รมว.พลังงาน เปิดเผยในการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพ โอกาสทางธุรกิจของประเทศไทย” (Unlocking Thailand’s Business Potential) ในงานเสวนาพิเศษความร่วมมือและโอกาสทางธุรกิจไทยในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และตะวันออกกลาง จัดโดยบริษัท ยักษ์เขียว จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจด้านเกษตรนวัตกรรม ฟาร์มต้นไม้ และการออกแบบภูมิสถาปัตย์ของไทยที่เจาะตลาดซาอุดีอาราเบีย และกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ โดยมีวิทยากรทั้งจากฝ่ายนโยบาย ภาครัฐ และภาคเอกชน ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ว่า การค้าระหว่างประเทศของไทยในปี 2566 ที่ผ่านมาเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยภาพรวมการส่งออกของไทยปี 2566 หดตัว 1.0% ซึ่งตัวเลขการส่งออกของไทยในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.05% ขณะที่จีน สหภาพยุโรป (อียู) และอาเซียน ตัวเลขการส่งออกลดลง โดยจีนลดลงถึง 2 ปีซ้อน อียู ลดลง 4.21% และอาเซียนลดลง 7.12% แต่ประเทศไทยยังมีโอกาสในตลาดรอง เช่น ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นตลาดที่น่าจับตามองและยังคงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพใหม่ๆ ที่ต้องจับกระแสและวัฒนธรรมการบริโภคให้ได้ เพื่อเป็นโอกาสใหม่สำหรับการค้า การลงทุน เนื่องจากตลาดตะวันออกกลางเป็นตลาดใหญ่ มีมูลค่าสูง และผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่มาก
“ในสมัยที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยร่วมกับทูตพาณิชย์นำนักธุรกิจไทยไปบุกเบิกตลาดตะวันออกกลาง ผมเห็นถึงศักยภาพ การต้อนรับ รวมถึงการเปิดโอกาสความร่วมมือให้กับคนไทย และผมเชื่อว่าวันนี้โอกาสของเราในตลาดตะวันออกกลางยังคงมีอยู่มาก แต่สิ่งสำคัญคือ ความสำเร็จในการบุกตลาดตะวันออกกลาง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐต้องมีนโยบายที่สนับสนุน ภาคเอกชนต้องปรับตัวและพัฒนาสินค้าให้ตรงความต้องการของตลาดด้วยเช่นกัน” นายสนธิรัตน์กล่าว
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า บริษัทยักษ์เขียว ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของภาคธุรกิจไทยที่มองการณ์ไกล และเห็นโอกาสในวิกฤตของสภาพภูมิอากาศโลก ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาร่วมกัน วันนี้ ต้นไม้จะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและกลายเป็นสินค้าส่งออกเพื่อไปสร้างป่าและสร้างคาร์บอนเครดิตให้กับประเทศที่ยังขาดศักยภาพป่าไม้อย่างเช่นตะวันออกกลาง ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของการค้าและการส่งออก และการส่งออกต้นไม้จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงเป็นช่องทางการสร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่ยังเป็นโอกาส ช่องทาง และอาชีพให้พี่น้องเกษตรกร และตนมองว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ควรจะมีการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมืออย่างกว้างขวางในกลุ่มพี่น้องเกษตรกร นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ เพราะเป็นเรื่องสำคัญและมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งต่อประเทศไทยในอนาคต