xs
xsm
sm
md
lg

“สมุนไพรวังพรม” เพิ่มฐานผลิต ขยายตลาดยาหม่องรุ่นใหม่-ตปท.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - สมุนไพรวังพรม ประกาศเดินเครื่องสู้ศึก “ยาหม่อง” ทุ่มงบ 150 ล้านบาท เปิดโรงงานใหม่ลุยยกระดับผลิตภัณฑ์ ดันกำลังผลิตเพิ่ม ตอกย้ำแบรนด์ท็อป 5 ขวัญใจมหาชน รองรับการเติบโตตลาดไทย-ต่างชาติ คาดดันรายได้ปี 67 โต 15 %


นางสาววัชรีภรณ์ วังพรม ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด กล่าวว่า สมุนไพรวังพรมได้รับการยอมรับจากลูกค้ากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ธุรกิจของเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยไลน์อัพสินค้าครอบคลุมหลากหลายกลุ่มทั้ง กลุ่มยาหม่องสมุนไพร กลุ่มน้ำมันนวดสมุนไพร กลุ่มยาดมสมุนไพร และยาแคปซูลสมุนไพรเป้าหมายของเราต้องการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงวางเป้าให้ผลิตภัณฑ์ของสมุนไพรวังพรมขึ้นแท่นเป็นยาสามัญประจำบ้าน

ผลิตภัณฑ์ของเราจึงต้องการการรองรับมาตรฐานการส่งออก GMP/PICs ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาของประเทศในสหภาพยุโรป มาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตยาสามัญ ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่มีเป้าหมายปรับปรุงมาตรฐานการผลิตของผู้ผลิตยาแผนโบราณขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงผู้ผลิตที่ผลิตยาในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำในประเทศ จึงเป็นที่มาของการลงทุนเปิดโรงงานแห่งใหม่ ที่จะทำให้บริษัทฯ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ นับเป็นการก้าวเข้าสู่ความสำเร็จอีกขั้นของสมุนไพรวังพรมในระดับสากล


โดยโรงงานแห่งใหม่พื้นที่กว่า 10 ไร่ ใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท เป็นการลงทุนใหญ่ในรอบ 20 ปี แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่

• โซนที่ 1 เป็นพื้นที่ผลิตยา มีห้องแยกย่อยกว่า 40 ห้องเป็นระบบปิดทั้งหมดและเป็นห้องคลีนรูม
• โซนที่ 2 โซนสำนักงาน ที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของทีมงานฝ่ายบริหาร
• โซนที่ 3 คือโกดังเก็บสินค้า

ช่วงแรกคาดว่าโรงงานมีกำลังการผลิตสินค้าสมุนไพรเดือนละ 1 ล้านขวด จากเดิมที่เคยผลิตได้ปีละ 6.5 ล้านขวด คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่ม 50% เพื่อรองรับตลาดในอีก 5 ปี ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับพัฒนาเฟส 2 เป็นโรงงานเครื่องสำอางในอนาคต


ปัจจุบันสัดส่วนยอดจำหน่ายโดยรวมของสมุนไพรวังพรม มีกลุ่มยาหม่องสมุนไพรครองสัดส่วนอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะยาหม่องเสลดพังพอนและยาหม่องไพล ทั้ง 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ครองสัดส่วน 93% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด ในปี 2566 ยอดขายกลุ่มสินค้ายาหม่องและน้ำมันนวดโต 12% จากปีก่อน และคาดว่าปีนี้ยอดขายเติบโต 15%

สำหรับสัดส่วนการขายแบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 70% (กรุงเทพฯ 40% และต่างจังหวัด 60%) ส่วนตลาดต่างประเทศ 30% ซึ่งเติบโตขึ้นทุกปี จึงหันมามุ่งเน้นการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยพัฒนาสินค้าจนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ทำให้เปิดตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น ได้แก่ กลุ่มประเทศ CLMV เกาหลีใต้ จีน รัสเซีย ประเทศกลุ่มคาบสมุทรอาหรับ ในปีนี้จะขยายตลาดสู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

“ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของกรมการแพทย์แผนไทยฯ คาดการณ์ในปี 2566 ที่ตลาดสมุนไพรไทยจะมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท ขณะที่ Euromonitor คาดการณ์ว่าปี 2569 ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 59,500 ล้านบาท”


เนื่องจากคนยุคใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติมากขึ้น รวมไปถึงชาวต่างชาติที่ชื่นชอบสมุนไพรไทยเป็นทุนเดิม ทิศทางตลาดปี 2567 นี้คาดว่าคนทั่วโลกจะหันมาใช้ยาสมุนไพรมากขึ้น จากทิศทางตลาดอุตสาหกรรมยาทั่วโลกในปีนี้มีแนวโน้มจะปรับราคายาขึ้น 20% ส่งผลให้อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย

“เอกลักษณ์ของยาหม่องของเราคือกลิ่นที่ไม่มีใครเหมือน แม้จะมีสินค้าเลียนแบบที่พยายามทำแพคเกจจิ้งให้คล้ายกัน ซึ่งเราพยายามพัฒนาปรับดีไซน์แพคเกจจิ้งให้โดดเด่นด้วยสีเขียวเข้มสไตล์วังพรมกับสินค้าทุกประเภทของเรา ในปีนี้เรายังมีแผนพัฒนาออกสูตรใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าเจาะเข้าถึงหลากหลายกลุ่มทั้ง กลุ่มคนรักสุขภาพ-ออกกำลังกาย, กลุ่มผู้สูงอายุ Boomer, กลุ่มเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน กลุ่ม Gen X,Y และเริ่มขยายเข้ากลุ่ม Gen Z โดยเฉพาะ First jobber มากขึ้น” นางสาววัชรีภรณ์ กล่าว


บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ 350 ล้านบาท เติบโต 15% ตั้งเป้ากำลังการผลิตเพิ่ม 50% ดันสัดส่วนการขายต่างประเทศ 50% ส่งผลรายได้โต 500 ล้านบาท ในอีก 3 ปี ด้วยปัจจัยสนับสนุนสำคัญการผลิตสินค้าคุณภาพ มีการพัฒนาสูตรใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิตเข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า เน้นพัฒนาช่องทางการขายและปูพรมกิจกรรมทางการตลาดเต็มรูปแบบให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น

ปัจจุบันช่องทางการจัดจำหน่ายของสมุนไพรวังพรม มีจำหน่ายที่ 7-11 ร้านขายยาโมเดิร์นเทรด Boots, Pure, Save drug, Lab Pharmacy, Fascino, Lotus, Makro, Tops care และรวมไปถึงร้านขายยาทั่วไปทั่วประเทศ รวมไปถึงแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shoppee, Lazada, LineOA และอีคอมเมิร์ซของบริษัททุกช่องทาง ส่วนลูกค้าไทยในต่างประเทศจะซื้อจาก Amazon รวมไปถึง Asian groceries ในท้องถิ่นต่างๆ และร้านนวดไทยในต่างแดน












กำลังโหลดความคิดเห็น