ผู้จัดการรายวัน 360 - อุตสาหกรรมโฆษณาปี 67 คาดโต 4% แตะ 88,000 ล้านบาท ปัจจัยบวกยังพอมี ส่วนปัจจัยลบยังรุมเร้า ส่งกำลังซื้อคิดหนักก่อนเปย์ออก แบรนด์สินค้าตั้งแผนรับ หว่านเม็ดเงินโฆษณาเท่าเดิม แต่เน้นปั๊มยอดขาย ฟันธง “อินฟลูฯ -ติ๊กต็อก” ขึ้นแท่นเป็นอาวุธเบอร์ต้นสู่การสร้างยอดขายมากที่สุดในปีนี้
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานและซีอีโอ บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI GROUP เปิดเผยว่า ทิศทางอุตสาหกรรมโฆษณาปี 2567 นี้คาดโต 4% หรือเพิ่มขึ้น 3,400 ล้านบาท ส่งผลให้มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 88,000 ล้านบาท จากปีก่อนโต 4.38% โดยปีนี้ยังคงมี 3 สื่อหลักขับเคลื่อน คือ สื่อโทรทัศน์ สื่อดิจิทัล และสื่อนอกบ้าน
“ปี 2567 นี้มองว่าอุตสาหกรรมโฆษณายังเติบโตได้อยู่ แต่อาจจะต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย หรือน่าจะโตที่ 4% หากไม่มีปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเข้ามา จากที่มองว่าปีนี้มีปัจจัยบวกช่วยอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น 1. นโยบายภาครัฐที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่รวมถึงเงินดิจิทัลแล้ว 2. ภาคการท่องเที่ยวที่จะมีต่างชาติเข้ามากว่า 31.5 ล้านคน แต่มองว่าจะสูงได้ถึง 35 ล้านคน ส่วนปัจจัยลบ เช่น 1. ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น 2. หนี้ครัวเรือน และ 3. กำลังซื้อระดับล่างที่ไม่มีเงิน เป็นต้น”
ในแง่ของแบรนด์สินค้า และนักการตลาด คาดว่าปีนี้จะยังคงใช้งบการตลาดเพื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์เท่าเดิม แต่มีการใช้ AI และดาต้ามากขึ้น ทำให้การเทงบเพื่อโฆษณาลง และหันมาใช้เครื่องมือหรือช่องทางที่สร้างยอดขายเป็นหลักแทน โดยพบว่า 1. ติ๊กต็อก จะถูกเลือกใช้เป็นช่องทางสร้างรายได้มากขึ้น จากปีที่ผ่านมาพบว่า ติ๊กต็อก เป็นแพลตฟอร์มที่ปิดยอดขายได้เร็วเป็นอันดับ 1 และมีคนไทยใช้งานอยู่ 40 ล้านคน ใกล้เคียงกับเฟซบุ๊ก ที่มีคนไทยใช้งานราว 40 กว่าล้านคน 2. อินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะระดับนาโนและไมโคร จะถูกเลือกใช้ในรูปแบบของ affiliate marketing มากขึ้น
นายภวัตกล่าวต่อว่า ทิศทางการใช้สื่อโฆษณาในปีนี้แม้สื่อทีวียังคงเป็นสื่อหลักในการขับเคลื่อน แต่ตัวเลขรวมคาดว่าจะลดลง 2% หรือจากที่มีมูลค่า 36,726 ล้านบาท จะเหลือที่ 35,364 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริง ตัวเลขหลังบ้านที่ต้องมีการลด แลก แจก แถม เข้ามาด้วยแล้ว ทำให้พบว่าปีที่ผ่านมาสัดส่วนสื่อทีวี + สื่อเดิมอย่าง สิ่งพิมพ์ วิทยุ และโรงภาพยนตร์อีกเล็กน้อย ทำให้กลุ่มทีวีครองสัดส่วนถึง 50% ของภาพรวมโฆษณาทั้งหมด โดยสื่อดิจิทัลอยู่ที่ 35% เป็นอันดับ 2 และอันดับสาม คือ สื่อนอกบ้าน 15% แต่ในปี 2567 นี้ คาดว่าสื่อดิจิทัลจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 45% และกลุ่มสื่อทีวีจะเหลือ 35% ส่วนสื่อนอกบ้านจะเพิ่มเป็น 20% ซึ่งแนวโน้มสื่อทีวีจะถดถอยต่อเนื่อง หรือใน 2-3 ปีจากนี้ จะลดลงเหลือ 20% และสื่อดิจิทัลจะครองสัดส่วนกว่าครึ่งหรือกว่า 50% ของภาพรวม ขณะที่สื่อนอกบ้านเองก็จะขยับขึ้นอีกเป็น 30%
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของภาคอุตสาหกรรมหมวดสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบโฆษณาอย่างคึกคักในปีนี้ คือ 1. Personal Care & Beauty 15,227 ล้านบาท 2. Health & Wellness 5,346 ล้านบาท 3. Automotive 3,633 ล้านบาท 4. Travel & Leisure 2,706 ล้านบาท 5. Finance & Credit Card 2,062 ล้านบาท และ 6. Pet Foods & Care 451 ล้านบาท
“ทั้ง 6 อุตสาหกรรมสะท้อนเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งการดูแลสุขภาพตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคและมลพิษ เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า การเลี้ยงสัตว์แทนลูก การท่องเที่ยวพักผ่อน และการที่เศรษฐกิจเริ่มมีปัจจัยบวก ทำให้ผู้บริโภคเริ่มอยากจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ซื้อก่อนจ่ายทีหลังจะชัดเจนขึ้นในปีนี้” นายภวัตกล่าว