ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. 66 แตะ 88.8 ลดลงจากทั้งคำสั่งซื้อ ยอดขาย การผลิต และผลประกอบการ จากการผลิตชะลอตัวและวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ประจำเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 88.8 ปรับตัวลดลงจาก 90.9 ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของค่าดัชนีฯ พบว่าปรับตัวลดลงเกือบทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีฯ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ขณะที่ดัชนีฯ ต้นทุนประกอบการปรับเพิ่มขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงมีปัจจัยเสี่ยงจากภาคการผลิตชะลอลง เนื่องจากวันทำงานน้อยและวันหยุดต่อเนื่องในเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับผู้ผลิตได้เร่งการผลิตในช่วงก่อนหน้า ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังทรงตัวในระดับสูง ขณะเดียวกันยังมีปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง นอกจากนี้ ภาคการก่อสร้างชะลอตัวลงโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างของภาครัฐ ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างลดลง ด้านการส่งออกประสบปัญหาอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น จากกรณีกลุ่มฮูตีในเยเมนโจมตีเรือขนส่งสินค้าพาณิชย์ที่แล่นผ่านทะเลแดง ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าโดยเฉพาะระหว่างทวีปเอเชียและยุโรป
อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคมยังมีปัจจัยบวกจากความต้องการสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าแฟชั่นที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และอานิสงส์การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการส่งออกมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่องจากอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าทยอยฟื้นตัว นอกจากนี้ มาตรการอุดหนุนราคาพลังงานของภาครัฐ โดยการปรับลดราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,309 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนธันวาคม 2566 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 81.1 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 72.2 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ร้อยละ 45.2 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 48.5 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 43.0 สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 38.5 ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 96.2 ปรับตัวลดลงจาก 97.3 ในเดือนพฤศจิกายน โดยมีปัจจัยกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่กระทบต่อต้นทุนประกอบการ ตลอดจนความไม่แน่นอนของปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ปรับตัวสูงขึ้นทั้งราคาพลังงานและวัตถุดิบ แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการ Easy E-Receipt ซึ่งเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2567 ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในช่วงวันที่ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2567
สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 1) สนับสนุนกระทรวงพลังงานในการดำเนินการปรับโครงสร้างพลังงานทุกประเภทให้มีความเป็นธรรมต่อผู้ใช้งาน และควรเปิดให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมให้ความเห็นผ่าน กรอ.พลังงาน
2) เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลจากปัญหาค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความไม่สงบบริเวณทะเลแดง โดยเฉพาะสายเรือขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ในเส้นทางระหว่างเอเชียกับยุโรป
3) ขอให้กรมสรรพากรเร่งประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก ในการยื่นคำขอออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax) เพื่อให้สามารถเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสในการขายสินค้าและบริการ