“ราช กรุ๊ป” จ่อปิดดีลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มอีก 2 โครงการในสิ้นปีนี้ หนุนทั้งปี 2566 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นรวมกว่า 1 พันเมกะวัตต์ แย้มปีหน้ามีโรงไฟฟ้าจ่อ COD เพิ่มอีก 11 โครงการ รวม 459 เมกะวัตต์ อัดงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาทลุยโครงการในมือ และ M&A วางเป้าหมายรุกลงทุนโครงการใหม่ในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นหลัก
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัทเข้าลงทุนควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตประมาณ 300 เมกะวัตต์ก่อนสิ้นปี 2566 ทำให้บริษัทรับรู้รายได้ทันที เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) อยู่แล้ว ส่งผลให้ปีนี้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นทั้งที่ COD แล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าไพตัน) จาก 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น 741.52 เมกะวัตต์
สำหรับแผนการลงทุนในอนาคตบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าทั้งในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าใหม่และพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งดำเนินการแล้วกว่า 10 โครงการ นอกจากนี้ ยังเน้นการบริหารโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเดินเครื่องได้ทันกำหนดเวลาตามที่สัญญาระบุไว้ โดยมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนรวม 2,918.23 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567-2576
สำหรับในปี 2567 บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการในมือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาก่อสร้างราว 8 พันล้านบาท ที่เหลือจะใช้ในการ M&A เน้นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นอีก 459 เมกะวัตต์ จาก 11 โครงการในมือ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ชุดที่ 1 กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯ รับรู้กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ มีกำหนด COD ในเดือนมีนาคม 2567 ปัจจุบันบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด ได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระยะเวลา 3 ปี กับบริษัท Gunvor Singapore Pte. Ltd. โดยจะมีการส่งมอบในปริมาณปีละ 0.5 ล้านตัน เริ่มการส่งมอบครั้งแรกจะดำเนินการในเดือนมีนาคม 2567
โครงการโรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 12.48 เมกะวัตต์ COD เดือนมกราคม 2567, โครงการโรงไฟฟ้าสหโคเจนใหม่ กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 41.08 เมกะวัตต์ COD เม.ย. 2566 และโครงการโรงผลิตไฟฟ้านวนครส่วนขยายระยะที่ 3 กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 12 เมกะวัตต์ คาด COD ธันวาคม 2567 โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซองเกียง 1 ที่เวียดนาม กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 5.55 เมกะวัตต์ COD ธันวาคม 2567 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังกา ที่ฟิลิปปินส์ กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 36.33 เมกะวัตต์ COD ปี 2567 โรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน กำลังผลิตตามการถือหุ้น 742 เมกะวัตต์ อยู่ในขั้นตอนการโอนหุ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้หรือต้นปี 2567 เป็นต้น
นางสาวชูศรีกล่าวต่อไปว่า ประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นฐานธุรกิจด้านพลังงานทดแทนที่สำคัญ โดยมีบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาและลงทุน บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสที่จะขยายการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเสริมความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในช่วงที่ออสเตรเลียกำลังจะเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 บริษัทฯ ศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสะอาดและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของออสเตรเลีย โดยมีแนวคิดยกระดับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเพื่อให้บริการผลิตไฟฟ้าเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 152 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 81 เมกะวัตต์ ในรัฐนิวส์เซาท์เวลส์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการพลังงานลมขนาดใหญ่ ประมาณ 120 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ตลอดจนการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานขนาด 100 เมกะวัตต์ เพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานทดแทนและจำหน่ายผ่านระบบสายส่ง ส่วนเวียดนาม บริษัทฯ ได้ศึกษาศักยภาพและโอกาสการลงทุนจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตถึง 150 กิกะวัตต์ โดยร้อยละ 40 จะเป็นพลังงานทดแทน ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุนในการขยายฐานธุรกิจโดยมีการศึกษาและพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม อีกทั้งยังมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วเช่นกัน สำหรับฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เนโกรส ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2567 โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ในอ่าวซานมิเกล และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียนา บนเกาะลูซอน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างได้ในปี 2568
“ในอนาคต บริษัทฯ ยังคงยึดธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลักในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาธุรกิจและลงทุนจะมุ่งขับเคลื่อนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย พร้อมทั้งจะขยายไปสู่ตลาดแห่งใหม่ โดยเน้นประเทศที่พัฒนาแล้ว และให้น้ำหนักการลงทุนทั้งแบบกรีนฟิลด์และการซื้อกิจการให้มีความสมดุลเพื่อบริหารกระแสเงินสดและรายได้ของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มุ่งหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตปีละไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ รวมทั้งให้ความสำคัญต่อการบริหารกระแสเงินสด ต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป้าหมาย EBITDA เติบโตถึง 12,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 10,807.35 เมกะวัตต์ มีสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 27% หรือราว 2,933.23 เมกะวัตต์”