ผู้จัดการรายวัน 360 - “เดอะ ฮอลิเดย์” เดินหน้าปั้นธุรกิจเอฟแอนด์บี วางโรดแมปพัฒนาแบรนด์ ก่อนซื้อไลเซนส์ร้านต่างประเทศ หลังจากประเดิมร้านขนมออนไลน์ “ฮอลิเดย์ พาสทรี่” ติดลมบนแล้ว ปีนี้ผุดอีก 2 สาขาออฟไลน์ ปีหน้าเปิดใหม่อีก 3 แบรนด์รวด
นายวสุวัส คูหาเปรมกิจ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการแบรนด์ และ นายสาริน รณเกียรติ ผู้ร่วมก่อตั้ง และผู้อำนวยการสร้างสรรค์ บริษัท เดอะ ฮอลิเดย์ จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจเอฟแอนด์บีของไทย ร่วมกันเปิดเผยว่า บริษัทฯ วางนโยบายและทิศทางการลงทุนในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม Food and Beverage / F&B ทั้งการพัฒนาแบรนด์ของตัวเอง และการซื้อไลเซนส์แฟรนไชส์แบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาดำเนินการในไทย
“ร้านแรกคือ Holiday Pastry เป็นร้านขนมออนไลน์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน จากการเล็งเห็นช่องว่างของตลาดร้านขนมในประเทศไทยที่ยังมีผู้เล่นหลักๆ ไม่กี่ราย และยังขาดความหลากหลาย เมื่อเทียบกับนิวยอร์ก ลอนดอน โซล และซิดนีย์ ที่สำคัญ ร้านขนมที่มีส่วนใหญ่ยังเป็นร้าน Specialty ที่เน้นขายเฉพาะขนมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีไอเดียว่าอยากปั้นแบรนด์ ร้านขนมที่เป็น The One and Only นำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย เน้นขายขนมหวาน” นายวสุกล่าว
“ในช่วงที่เริ่มทำร้าน เป็นสถานการณ์โควิด-19 ระบาดพอดี แต่เราก็มีการวางแผน 5 ปี (2563-2568) ไว้แล้วชัดเจนตั้งแต่แรกว่าจะขยายธุรกิจตามโรดแมปนี้” กล่าวคือ
ปี 2564 : เน้นการสร้าง Brand Awareness ให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และเน้นสร้างโฟลโลเวอร์และแฟนเบสในช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มที่แข็งแรงให้กับแบรนด์
ปี 2565 : เน้นเรื่องการสร้างแบรนด์ และ สร้างภาพจำให้แบรนด์ชัดและแข็งแรงขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของแบรนด์ในอนาคต เปิด Flagship Store โดยชูคอนเซ็ปต์ที่ตอกย้ำความเป็น “The One & Only” สาขาแรกที่ OUR คอมมูนิตีมอลล์ของกลุ่มตัวเอง ถนนเจริญนคร ตรงข้ามไอคอนสยาม มีประมาณ 40 ที่นั่ง
ปี 2566 : เสริมทัพอาหาร All Day Dining และขนมหวานกว่า 100 เมนู รวมทั้งขยายไปสู่บริการสั่งเค้กวันเกิด ขนมไหว้พระจันทร์ และ Catering ซึ่งปีนี้ได้ลงทุนอีก 7 ล้านบาท เปิดสาขาหน้าร้านที่สอง ที่เซ็นทรัลเวิลด์ จะเปิดเป็นทางการวันที่ 4 ตุลาคมนี้ ความจุ 80 ที่นั่ง ขณะเดียวกันได้ขยายครัวกลางอีกที่สาขาแรก ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท พื้นที่ 1,000 ตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ และขยายพื้นที่ร้านสาขาแรกเพิ่ม และล่าสุดเตรียมเปิดร้านฮอลิเดย์ พาสทรี่ สาขาที่ 3 ที่ดิเอ็มสเฟียร์ปลายปีนี้
ปี 2567 : ขยายสาขา พร้อมกับไป Collaboration กับแบรนด์ระดับโลกและแบรนด์ไทยที่ทำมา เช่น ร้านการันชาไทย หรือแบรนด์ COACH เป็นต้น ส่วนปีหน้าเตรียมคอลแลบกับแบรนด์ยาสีฟัน และแตกแบรนด์เพิ่ม วางไว้ว่าจะเปิดตัวใหม่อีก 3 แบรนด์ที่พัฒนาเอง คือ แบรนด์เกี่ยวกับขนมปัง แบรนด์เกี่ยวกับเครื่องดื่ม และแบรนด์เกี่ยวกับอาหาร
ปี 2568 : ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายธุรกิจ Food Retail พร้อมแตกแบรนด์ลูก และธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม
นายสารินกล่าวว่า สิ่งที่เราใส่ใจเป็นพิเศษคือ การมอบประสบการณ์แบบ Full Experience ให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่เมนูขนม และอาหาร ไปจนถึงการตกแต่งร้าน จาน ชาม ชุดพนักงานล้วนผ่านการออกแบบอย่างดี โดยเมื่อลูกค้าเปิดประตูเข้ามาในร้านจะได้กลิ่นหอมที่เราคราฟต์ขึ้นมาเฉพาะ เสียงเพลงที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เข้ากับบรรยากาศร้านที่ดีไซน์ให้กลิ่นอายของช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ใช้โทนสีเหลืองสะท้อนช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก
“คอนเซ็ปต์ที่เราวางไว้กับสาขาที่ดิเอ็มสเฟียร์นี้ คือ เป็นการจำลองบรรยากาศ Hotel Lobby ในมหานครนิวยอร์ก ยุค Art Deco ที่เล่นกับสีสันสะดุดตาราวกับหลุดไปอยู่ในหนังของผู้กำกับชื่อดัง Wed Anderson ภายในประกอบด้วยโซน Immersive Experince ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เดินทางวาร์ปจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่โซนรับประทานอาหาร ที่เราตั้งใจออกแบบให้ความรู้สึกเหมือนล็อบบี้โรงแรม เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเรามีการปรับจาก Brunch มาเป็น Dinner มีการปรับเพิ่มจากเมนูเดิมที่มีอยู่ 40 เมนู เป็น 100 เมนู โดยตั้งใจว่าในแต่ละสาขาจะยังคงเมนูยอดฮิตและซิกเนเจอร์ไว้ เพิ่มเติมคือ เมนูพิเศษที่เป็น The One and Only ของแต่ละสาขา ซึ่งเป็นเหมือนมิชชันให้ลูกค้าต้องตามเก็บให้ครบ และยังมีโซนชอปปิ้งสำหรับซื้อสินค้าหรือของที่ระลึกจาก Holiday Pastry”
ปัจจุบันมีร้านฮอลิเดย์ พาสทรี่ 2 สาขาหลัก และมีเปิดเป็นร้านป็อปอัพหมุนเวียนไปประมาณ 5 แห่ง
“ช่วงแรกที่มีแต่ร้านออนไลน์มียอดขายกว่า 20 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 100% และปีนี้ธุรกิจโดยรวมจะมีรายได้ 100 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้มาจาก ดีลิเวอรีออนไลน์ 40% ร้านออฟไลน์ 60% และภายใน 3 ปีจากนี้รายได้รวมจะเพิ่มเป็น 300 ล้านบาทจากแบรนด์ใหม่ ขณะนี้ก็เริ่มศึกษาและเจรจากับทางแบรนด์ต่างประเทศบ้างแล้ว โดยเฉพาะเบเกอรีจากเกาหลี” นายวสุวัสกล่าว
ปัจจุบันลูกค้าหลักของ Holiday Pastry เป็นคนไทย 60% ชาวต่างชาติ 40% ฐานลูกค้าหลักคือ กลุ่มครอบครัว และนักท่องเที่ยว เราอยากให้ Holiday Pastry เป็นมากกว่าแบรนด์ร้านอาหารและขนม แต่เป็น Food Retail ที่พร้อมต่อยอดธุรกิจในกลุ่มอาหารและขนมไปสู่การแตกแบรนด์ใหม่ พร้อมนำเข้าแบรนด์อาหารหรือขนมจากต่างประเทศมาเปิดในไทย ไปจนถึงการแตกไลน์สินค้าภายใต้ Holiday Pastry สามารถเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจอาหารและขนม (Dessert & Restaurant)
นายสารินกล่าวเสริมว่า กลยุทธ์การตลาดของ Holiday Pastry ทำให้ Holiday Pastry เติบโตอย่างก้าวกระโดดปีละ 100% โดยกลยุทธ์ที่เป็นแกนหลักคือ 3C ประกอบด้วย Customer Experiences - เน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า, Care for the quality - ใส่ใจในคุณภาพทั้งในเรื่องคุณภาพและรสชาติ และ Creativity & innovativeness - ชูความคิดสร้างสรรค์และนำนวัตกรรมมาต่อยอด
“Food is Fashion ธุรกิจอาหารก็เหมือนแฟชั่น มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากจะฟังเสียงลูกค้า เรายังต้องตามเทรนด์ให้ทันและมีมูฟเมนต์ใหม่ที่ฉับไวเสมอ ทางร้านเองเคยร่วมงานกับแบรนด์ร้านอาหารด้วยกันมาแล้ว ต่อจากนี้ ก็มีโปรเจกต์ที่จะร่วมงานกับแบรนด์ดังหลายแบรนด์ในทุกไตรมาสไปจนถึงปีหน้า ซึ่งเป็นแบรนด์ในวงการอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในระดับเอเชีย ไปจนถึงแบรนด์ระดับโลก” นายสารินกล่าว