สนค.เผยผลสำรวจการปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก พบผู้บริโภคสนใจซื้อสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ประกอบการเริ่มตระหนักความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ SME ยังขาดความรู้ และมีข้อจำกัดด้านเงินทุน ชงข้อเสนอ รัฐต้องกำหนดนโยบายสนับสนุน ทำแผนช่วยผู้ประกอบการปรับตัว และส่งเสริมด้านการตลาด ส่วนข้อเสนอภาคธุรกิจต้องเร่งปรับการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้จัดทำ “โครงการศึกษาแนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยเพื่อเตรียมพร้อมต่อมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม : กรณีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” โดยได้สำรวจผู้บริโภค สัมภาษณ์เชิงลึกผู้ประกอบการ และจัดทำข้อเสนอต่อภาครัฐ-เอกชน เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลในการจัดทำนโยบายและให้ภาคธุรกิจมีข้อมูลในการปรับตัว ตลอดจนรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
สำหรับผลการสำรวจผู้บริโภค สนค.ได้สำรวจประชาชน มีผู้ตอบแบบสอบถาม 5,012 คน พบว่าร้อยละ 81.64 สนใจซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเหตุผล คือ 1. ต้องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน 2. ต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 3. ต้องการทดลองสินค้าใหม่ๆ ขณะที่เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจซื้อ คือ 1. ราคาแพง 2. สถานที่จำหน่ายน้อย และ 3. ขาดการประชาสัมพันธ์
ส่วนการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่าผู้ประกอบการตระหนักและพร้อมจะเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases : GHGs) แต่ผู้ประกอบการ SME มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ทั้งค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต และค่าใช้จ่ายเพื่อประเมินและขอรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ และยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ GHGs และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศ อีกทั้งผู้บริโภคยังเลือกที่จะซื้อสินค้าทั่วไป ซึ่งมีราคาถูกกว่า ทำให้ขาดแรงจูงใจหรือไม่เห็นประโยชน์ในการปรับตัวเพื่อลดการปล่อย GHGs
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ข้อเสนอต่อภาครัฐ ผลการศึกษาพบว่า 1. ด้านนโยบายภาครัฐ ควรมีนโยบายหรือมาตรการสนับสนุนให้ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถเพิ่มศักยภาพได้มากขึ้น บูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ บูรณาการฐานข้อมูล ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งข้อมูลง่าย พัฒนาแรงงานเพื่อยกระดับศักยภาพ 2. ด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการ ควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Technology) ช่วยเหลือผู้ประกอบการในการประเมินและขอรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ และ 3. ด้านการส่งเสริมการตลาด ควรประชาสัมพันธ์ให้ฉลากสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นที่รู้จัก เพิ่มมูลค่า และสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภค เผยแพร่สินค้าที่ได้รับการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมถึงเครื่องมือหรือกลไกที่ไทยใช้ในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ให้ต่างชาติเข้าใจและยอมรับสินค้าไทย และผลักดันการซื้อขายคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นประเด็นหนึ่งในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ทางด้านข้อเสนอต่อภาคธุรกิจ ควรเก็บข้อมูลกิจกรรมธุรกิจทุกขั้นตอน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน และปริมาณวัตถุดิบ สำหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานว่าแต่ละขั้นตอนปล่อย GHGs อย่างไร เพื่อปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นจุดขาย เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สำหรับการขอรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ อาจขอรับรองในสินค้าที่ขายดีก่อน แล้วจึงขยายไปในสินค้าที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากใช้ชุดข้อมูลคล้ายกัน ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ต้องเพิ่มพูนความรู้ ติดตามสถานการณ์รอบด้านที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจการค้า เพื่อให้ปรับตัวได้ทันท่วงที
ทั้งนี้ ประชาชน ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจ และต้องการศึกษารายงานฉบับสมบูรณ์ ดูรายละเอียดได้ที่ https://shorturl.asia/wmo6O