กทพ.จัด Market Sounding เปิดทำเลทองพื้นที่ใต้ทางด่วน 25 แห่งดึงเอกชนพัฒนา แบ่ง 3 กลุ่ม "ใน-นอกเมือง และ EV Station" เล็งนำร่อง "ย่านอโศก สีลม เพลินจิต และวัชรพล" คาดเริ่มไตรมาส 3 ปี 67
วันที่ 29 ส.ค. 2566 นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นเบื้องต้นของภาคเอกชน ภายใต้โครงการประเมินความสนใจของนักลงทุน (Market Sounding) ในการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ โดยมีกลุ่มนักลงทุน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พันธมิตรทางธุรกิจของ กทพ.เข้าร่วมประชุม 27 รายจากที่เชิญ 40 ราย
นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า โครงข่ายทางด่วน ของ กทพ.ที่เปิดให้บริการมากว่า 50 ปี มีพื้นที่ใต้ทางด่วนตลอดแนวเป็นจำนวนมาก กทพ.จึงได้จัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษและใช้ระบบภูมิสารสนเทศเก็บข้อมูลและจำแนกการใช้พื้นที่ โดยครอบคลุมที่ดินของหน่วยงานอื่นๆ พื้นที่ใช้ประโยชน์และพื้นที่ว่างไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมและคุ้มค่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นเบื้องต้นของภาคเอกชน หรือ Market Sounding เพื่อรับฟังมุมมองด้านธุรกิจจากเอกชน และนำไปปรับปรุงการพัฒนาให้เหมาะสม
โดยได้กำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเชิงพาณิชย์ 25 พื้นที่ ทั้งแปลงพื้นที่ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ พื้นที่ศักยภาพในเมือง 7 พื้นที่ ได้แก่ ถนนสีลม (ทางพิเศษศรีรัช), อโศก (ทางพิเศษศรีรัช), สุขาภิบาล 5 (ทางพิเศษฉลองรัช), หัวถนนรามอินทรา (ทางพิเศษฉลองรัช), เพลินจิต (ทางพิศษเฉลิมหานคร), อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ทางพิเศษศรีรัช), และปากซอยวัชรพล (ทางพิเศษฉลองรัช)
พื้นที่ศักยภาพชานเมือง 8 พื้นที่ ได้แก่ ถนนศรีสมาน (ทางพิเศษอุดรรัถยา), จุดตัดถนนเทพรักษ์ ด้านทิศใต้ (ทางพิเศษฉลองรัช), จุดตัดถนนเทพรักษ์ ด้านทิศใต้ (ทางพิเศษกาญจนาภิเษก), จุดตัดถนนศรีนครินทร์ ด้านทิศใต้ (ทางพิเศษกาญจนาภิเษก), บริเวณ กม.16 (ทางพิเศษอุดรรัถยา), พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ (ทางพิเศษกาญจนาภิเษก), ถนนจตุโชติ-วงแหวนรอบนอก (ทางพิเศษฉลองรัช) และต่างระดับบางปะอิน (ทางพิเศษอุดรรัถยา)
และพื้นที่เตรียมพร้อมรองรับสู่การติดตั้ง EV Station 10 พื้นที่ เช่น ถนนพระราม 6 ซอย 20 หน้าด่านรามคำแหง ด่านสุรวงศ์ หลังด่านเก็บเงินคลองประปา งามวงศ์วาน เซ็นทรัลพระราม 3 จุดกลับรถลาดพร้าวทาวน์อินทาวน์ เป็นต้น
@นำร่องพื้นที่ "ย่านอโศก สีลม เพลินจิต และวัชรพล"
โดยจะนำร่องพื้นที่ย่านอโศก สีลม เพลินจิต และวัชรพล ส่วนรูปแบบการพัฒนาพื้นที่เบื้องต้น กรณีให้เช่าพัฒนา ระยะเวลาประมาณ 3 ปี กรณีเปิดร่วมลงทุนฯ (PPP) ระยะเวลาประมาณ 5-15 ปี หากพื้นที่ใดประสงค์ก่อสร้างอาคารจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางพิเศษ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 และครบทั้งหมดภายในปี 2570
นายสุรเชษญ์กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ที่ให้หน่วยงานรัฐใช้ประโยชน์โดยไม่เก็บค่าเช่า และใกล้หมดสัญญาอาจจะต้องมีการทบทวนขอคืน หากพื้นที่ใดถูกทอดทิ้งกทพ.จะขอคืนทั้งหมด
ทั้งนี้ ปัจจุบันจากพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 3,000 ไร่ กทพ.นำมาใช้เพื่อสาธารณประโยชน์แล้วร้อยละ 37.74 และใช้เชิงพาณิชย์ร้อยละ 9 จึงยังมีพื้นที่ที่จะนำมาพัฒนาได้อีกมากกว่าร้อยละ 53 ซึ่งกทพ.มีเป้าหมายเพิ่มการนำพื้นที่ศักยภาพมาดำเนินการพัฒนาเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ควบคู่สาธารณประโยชน์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ทั้งนี้ ยังมีแผนจะพัฒนาพื้นที่ตามแนวเขตทางพิเศษของโครงการทางพิเศษสายใหม่ๆ ในอนาคต ที่ดำเนินการภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษของ กทพ. ซึ่งจะครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และเขตภูมิภาค เช่น ภูเก็ต และสมุย อีกด้วย
@เตรียมชง ครม.ใหม่ อนุมัติ 3 โครงการ
นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า กทพ.มีแผนพัฒนาโครงการทางด่วนต่อเนื่อง และเตรียมเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คนใหม่ พิจารณาและนำเสนอต่อคณะรัฐมตรี (ครม.) เพื่อผลักดัน จำนวน 3 โครงการ ที่มีความพร้อม ได้แก่ 1. โครงการทางด่วน ขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ถนนประเสริฐมนูกิจ-ถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก ระยะทาง 11.3 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งมีวงเงินลงทุน 16,960 ล้านบาท ซึ่งศึกษาออกแบบและรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)ได้รับอนุมัติแล้ว
2. โครงการทางด่วนช่วงจตุโชติ-ถนนลำลูกกา ระยะทาง 16.21 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุนรวม 24,060 ล้านบาท
3. โครงการทางด่วน สายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต (โครงการระยะที่ 1) ระยะทาง 3.98 กม. วงเงินลงทุน 14,670 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทบทวนการลงทุนหลังเปิดประมูล PPP แต่ไม่มีเอกชนยื่นข้อเสนอ ซึ่งกรณีการร่วมลงทน PPP มีขั้นตอนที่คาดว่าจะทำให้โครงการล่าช้าประมาณ 2 ปี โดย กทพ.กำลังพิจารณาแนวทางการลงทุนเอง ซึ่งจะหารือกับกระทรวงการคลัง กรณีขอใช้เงินกู้ หรือใช้รายได้ กทพ.มาดำเนินโครงการ