ส.อ.ท.ลุ้นโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) คาดหวังเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้ความรุนแรงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยเฉพาะต้องไม่กระทบท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์เดียวในการขับเคลื่อน ศก.ในปีนี้ พร้อมหนุนกระทรวงพลังงานดูแลราคาดีเซลไม่ให้ขึ้นพรวดพราดหลังไร้ภาษีฯ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนทุกส่วนกำลังจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในวันนี้ (13 กรกฎาคม) โดยต่างคาดหวังที่จะให้การโหวตเป็นไปอย่างราบรื่นและไร้ปัญหาเช่นเดียวกับการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะคาดหวังที่จะไม่มีการประท้วงหรือเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นเพราะจะกระทบต่อความเชื่อมั่นโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่กำลังเข้าสู่ไฮซีซันและเป็นเครื่องยนต์หลักที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากภาคส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้มีแนวโน้มทั้งปีจะติดลบ 2% หรือไม่เติบโตเลย
ส่วนกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ภาคเอกชนคาดหวังแค่อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาล เพราะเอกชนสามารถทำงานร่วมกับพรรคการเมืองใดก็ได้ และคาดหวังจะให้จัดตั้งรัฐบาลตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ไม่เกินสิงหาคมนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ เพราะมีเรื่องเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจที่ต้องรอรัฐบาลใหม่มาขับเคลื่อน โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ
นายเกรียงไกรยังระบุถึงกรณีที่กรมสรรพสามิตไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรว่าจะส่งผลต่อต้นทุนด้านพลังงานปรับขึ้นทันที หากหน่วยงานด้านพลังงานไม่มีแนวทางเข้ามาช่วยเหลือจะกระทบต่อต้นทุนขนส่งของผู้ประกอบการ โดยหากราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นเป็น 37 บาทต่อลิตร จากปัจจุบัน 32 บาทต่อลิตรจะทำให้ต้นทุนพุ่งขึ้น 10% ส่งผลต่อเนื่องถึงราคาสินค้าสูงขึ้น 8-10% โดยเฉพาะสินค้าพืชผลทางการเกษตรที่ต้องขนส่งสินค้าจำนวนมาก ขณะที่สินค้ากลุ่มอื่นๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ จะปรับขึ้นราว 2-3% ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงพลังงานหามาตรการรองรับเพื่อไม่ให้เป็นภาระต้นทุนของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ขณะนี้มีภาระต้นทุนจากดอกเบี้ยอยู่แล้ว