ส.อ.ท.เตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ เพื่อตอบสนองเป้าหมาย Vision 2030 ที่ซาอุฯ จะเป็นแกนหลักในการนำเข้าต้นไม้จากทั่วโลกที่กำหนดไว้ 38 ประเภทเพื่อบรรลุซาอุฯ สีเขียวที่กลุ่มคาบสมุทรอาหรับต้องการรวมถึง 5 หมื่นล้านต้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงเมื่อเร็วๆ นี้ตัวแทนจาก ส.อ.ท.ได้แก่ นายชาติชาย พานิชชีวะ รองประธาน ส.อ.ท. พร้อมด้วยนายนาวา จันทนสุรคน กรรมการบริหาร ส.อ.ท. ได้ร่วมคณะเดินทางกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะภาครัฐและภาคเอกชนไปยังประเทศซาอุดีอาระเบียเพื่อที่จะร่วมมือด้านการค้ากับเอกชน 2 ประเทศ ซึ่งซาอุฯ ต้องการดึงนักลงทุนทั่วโลกไปร่วมโครงการ Saudi Vision 2030 ที่มีแผนสร้างเมืองใหม่ที่มีชื่อว่า “นีอุม” ซึ่งไทยเป็นนักลงทุนที่ซาอุฯ ได้เชิญชวนเข้าไปลงทุนโดยเฉพาะ 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ ปิโตรเคมี, รถยนต์และชิ้นส่วน, อาหาร, วัสดุก่อสร้างและต้นไม้ โดย ส.อ.ท.จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเป็นการเฉพาะเพื่อมาขับเคลื่อนการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ ที่จะเป็นการสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยและเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต
“ซาอุฯ มีโครงการปลูกต้นไม้ 50,000 ล้านต้นในกลุ่มคาบสมุทรอ่าวอาหรับ (GCC) รวม 6 ประเทศตามเป้าหมายของ Vision 2030 ที่ซาอุฯ จะเป็นแกนหลักนำเข้าต้นไม้จากทั่วโลกที่กำหนดไว้ 38 ประเภทเพื่อให้บรรลุตามนโยบายซาอุดีอาระเบียสีเขียวปัจจุบันประเทศไทยได้ส่งต้นไม้ไปยังซาอุฯ แล้วกว่า 200,000 ต้น และถือว่ายังมีโอกาสให้ไทยส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ ได้อีกมาก ขณะเดียวกันซาอุฯ สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยด้านคลังน้ำมันและปิโตรเคมีในโครงการแลนด์บริดพื้นที่ภาคใต้” นายเกรียงไกรกล่าว
สำหรับต้นไม้ 38 ประเภท ได้แก่ 1. ชมพูพันธุ์ทิพย์ 2. นนทรี 3. พุทราจีน 4. ศรีตรัง 5. หูกวาง 6. อรชุน 7. ไทรย้อยใบแหลม 8. พฤกษ์ 9. ยี่เข่ง 10. งิ้ว 11. หางนกยูงฝรั่ง 12. มัลเบอร์รี 13. มะรุม 14. เลี่ยน 15. มะเดื่อ 16. เลมอน 17. ส้มซ่า 18. คารอบ 19. ส้มแมนดาริน 20. มะตูมซาอุ 21. กระถินเทพา 22. หยีน้ำ 23. นิโครธ 24. ชัยพฤกษ์ 25. ก้ามปู 26. ปีบ 27. เสี้ยวดอกขาว 28. ชงโค 29. ราชพฤกษ์ 30. มะขามเทศ 31. มะกอกโอลีฟ 32. โพ 33. สะเดา 34. มะขาม 35. โพทะเล 36. กร่าง 37. ปอทะเล 38. ทามาริสก์
นายชาติชาย พานิชชีวะรองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท.จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เดือนก.ค.เพื่อที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการผลักดันแนวทางการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสของเกษตรกรไทยที่จะสร้างรายได้ นอกจากนี้ จากการที่ประเทศซาอุดีอาระเบียได้ยกเลิกกฎหมายและอนุญาตให้ผู้หญิงชาวซาอุดีอาระเบียสามารถขับรถยนต์ได้สนับสนุนให้ความต้องการใช้รถยนต์เติบโตจึงเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยในการขยายตลาดในซาอุฯ มากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ซึ่งบริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีนโยบายขยายการลงทุนโดยมุ่งขยายธุรกิจและพัฒนาระบบนิเวศด้านการก่อสร้าง (Construction Ecosystem) ไปสู่การขยายห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ในด้านอื่นๆ ทั้งธุรกิจปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และ PVC เป็นต้น เพื่อต้องการสร้างเครือข่าย Supply chain ระหว่างประเทศ จึงมีแผนการจัดตั้งสำนักงาน ณ เมืองริยาดภายในเดือนกันยายน ปี 2566
นอกจากนี้ สินค้าอื่นๆ ที่ยังมีโอกาสเติบโต เช่น เหล็ก ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ได้รับประโยชน์จากการลงทุน Mega Project ของซาอุฯ ในการสร้างเมืองและขยายเมืองเพื่อให้สอดรับกับแผน Saudi Vision 2030 ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ (Fertilizer and Chemicals Industry) ประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกปุ๋ยเคมีอันดับที่ 6 ของโลก จากการเข้าพบหน่วยงาน Saudi Basic Industries Corporation (SABIC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตปุ๋ยรายใหญ่รายหนึ่งของโลกและเป็นรายใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย ได้แสดงความสนใจที่จะร่วมมือและขยายการลงทุนกับไทยและในช่วงการเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้นำเข้าปุ๋ยและเคมีภัณฑ์จากซาอุฯ และทางบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจปุ๋ยในไทยมากถึง 45% ซึ่งไทยมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าปุ๋ยและเคมีภัณฑ์จากซาอุฯ ในจำนวนมากขึ้น