คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด (ทตอ.) ใส่เกียร์ถอย ไม่ยุติเก็บอากรเอดีเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน จากบราซิล อิหร่าน ตุรกี แต่ยังสั่งเก็บอากรเอดีต่ออีก 5 ปี จนถึงปี 71 อ้างหลังพิจารณาใหม่ หากยุติเก็บเอดีอาจทำให้การทุ่มตลาดกลับมาอีก จากก่อนหน้าออกคำวินิจฉัยให้เลิกเก็บแล้ว ด้านกลุ่มผู้ผลิตเหล็กในประเทศรุมค้าน ส่วนเหล็กชนิดเดียวกันจากมาเลเซีย และจีน กรมการค้าต่างประเทศกำลังพิจารณาจะเก็บต่อหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาลงประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) เรื่อง ผลการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการบังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป ตามมาตรา 57 พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าต่างประเทศ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน จากบราซิล อิหร่าน และตุรกี ซึ่งหลังจากประกาศแล้ว มีผลให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) เหล็กดังกล่าว ความหนา 0.9-100 มิลลิเมตร (มม.) และความกว้าง 100-3,200 มม. รวม 126 พิกัดภาษีศุลกากร จาก 3 ประเทศในอัตราเดิม เป็นเวลา 5 ปีจนถึงเดือน มิ.ย. 2571 โดยสินค้าจากบราซิลถูกเก็บอากรเอดี 34.40% ของราคา CIF (ราคาสินค้ารวมค่าประกันและค่าขนส่ง) ส่วนอิหร่าน 7.25-38.27% และตุรกี 6.88-38.23%
สำหรับประกาศของ ทตอ.ในครั้งนี้ ถือเป็นการกลับมติจากก่อนหน้านี้ที่ ทตอ.ได้พิจารณาความจำเป็นของการเก็บอากรเอดีสินค้าดังกล่าวจาก 3 ประเทศต่อหรือไม่ หลังจากเก็บมาแล้วตั้งแต่ปี 2559-64 และมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นให้ยุติเก็บอากร เพราะเห็นว่า ในปี 2564 การนำเข้าเหล็กดังกล่าวจาก 3 ประเทศลดลง และไม่พบการทุ่มตลาดในไทย พร้อมส่งคำวินิจฉัยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความเห็น
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ทั้งสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี สมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คัดค้านคำวินิจฉัย เพราะยุติเก็บอากรเอดีอาจทำให้ 3 ประเทศกลับมาทุ่มตลาดไทยได้อีก (ขายสินค้าในประเทศผู้ผลิตในราคาต่ำกว่าที่ขายในไทย) โดยเฉพาะบราซิล และตุรกีที่มีเป้าหมายผลิตเหล็กเพื่อส่งออก และทำให้ความเสียหายของผู้ผลิตเหล็กในประเทศกลับคืนมา
ส่วนกลุ่มผู้ใช้ระบุว่า ได้รับผลกระทบจากการต้องเสียภาษีเอดีสำหรับการนำเข้าเหล็กจาก 3 ประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนผลิตเพิ่มขึ้น และนำมาสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าจนผู้บริโภคได้รับผลกระทบ หรือบางรายสู้ต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ไหว ก็ไม่ได้นำเข้า และกระทบต่อยอดขาย โดยเหล็กดังกล่าวใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจาก ทตอ.นำความเห็นทั้งหมดมาพิจารณาใหม่ ได้ออกคำวินิจฉัยใหม่เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2566 ว่าการยุติเรียกเก็บอากรเอดีจะทำให้มีการทุ่มตลาดและความเสียหายต่อไป หรือฟื้นคืนมาได้อีก จึงให้เรียกเก็บอากรเอดีอัตราเดิมต่ออีก 5 ปี แต่ให้ยกเว้นกับ 1. ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการพาณิชยกรรม ที่นำเข้าสินค้าไปในเขตประกอบการเสรี เพื่อใช้ผลิตหรือเพื่อส่งออก ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2. ผู้ได้รับการส่งเสริมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ที่นำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออก และ 3. การนำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกภายใต้กฎหมายว่าด้วยศุลกากร
สำหรับเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน ที่มีแหล่งกำเนิดจากจีนและมาเลเซีย ที่ไทยเก็บอากรเอดีมาตั้งแต่ปี 2554-59 และต่ออายุเก็บอีกครั้งในปี 2559-64 โดยสินค้าจากมาเลเซีย เก็บอากร 23.57-42.51% และจีน เก็บที่ 30.91% และกรมการค้าต่างประเทศได้พิจารณาทบทวนความจำเป็นของการเก็บอากรเอดีต่อหรือไม่มาตั้งแต่ปี 2565 ตามที่ผู้ผลิตเหล็กในประเทศยื่นเรื่องขอให้ทบทวน จนถึงขณะนี้ยังพิจารณาไม่เสร็จ แต่กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในไทยต้องการให้เก็บอากรเอดีต่อไปอีก เพราะหากยกเลิกเก็บอากรเอดีอาจทำให้เกิดการทุ่มตลาด และความเสียหายฟื้นคืนมาได้อีก ที่สำคัญ ปัจจุบัน การใช้เหล็กในประเทศของจีนชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้จีนส่งออกเหล็กราคาต่ำไปทั่วโลก