กรมการค้าต่างประเทศเผยยอดใช้สิทธิ์ GSP ส่งออกช่วง 3 เดือนปี 66 มีมูลค่า 819.59 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 9.93% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 52.37% ตลาดสหรัฐฯ ใช้สิทธิ์มากสุด ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และ CIS ส่วนชิ้นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศยังคงเป็นแชมป์ใช้สิทธิ์ GSP สูงสุด เพิ่มขึ้นถึง 126%
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ที่ไทยได้รับในปัจจุบัน ได้แก่ สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช ในช่วง 3 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-มี.ค.) มีมูลค่ารวม 819.59 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 9.93% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 52.37% จากมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด 1,564.99 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันของการส่งออกภาพรวม ที่มีการส่งออกได้ลดลง
สำหรับตลาดที่ไทยมีการใช้สิทธิ์ GSP ส่งออกและขยายตัวได้ดีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ สหรัฐฯ มีมูลค่า 759.29 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 9.92% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 92.64% รองลงมาคือ สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 55.61 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.96% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 28.28% นอร์เวย์ มูลค่า 3.71 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 24.79% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 53.54% และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช มูลค่า 0.98 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 44.03% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 19.94%
ส่วนสินค้าที่ครองแชมป์ใช้สิทธิ์ GSP ส่งออกเป็นอันดับ 1 ยังคงเป็นชิ้นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มีมูลค่าการใช้สิทธิ์สูงถึง 146.96 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 126% คิดเป็นสัดส่วน 19.35% ของมูลค่าการส่งออกรวมที่ใช้สิทธิ์ GSP ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเป็นผลมาจากการเกิดคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้มากขึ้น
ขณะที่การส่งออกโดยใช้สิทธิ์ GSP ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และ CIS สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์สูง เช่น ของผสมของสารที่มีกลิ่นหอมชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหรือเครื่องดื่ม (สวิตเซอร์แลนด์) เพชรพลอยรูปพรรณทำด้วยโลหะมีค่าอื่นๆ (สวิตเซอร์แลนด์) บรรจุภัณฑ์ทำด้วยพอลิเมอร์ของเอทิลีน (สวิตเซอร์แลนด์) ข้าวโพดหวาน (นอร์เวย์) สูทของสตรีหรือเด็กหญิงทำด้วยขนแกะหรือขนละเอียดของสัตว์ (นอร์เวย์) และอาหารปรุงแต่ง (นอร์เวย์) เป็นต้น
นายรณรงค์กล่าวว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญที่ให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่สินค้าไทยภายใต้โครงการ GSP โดยไทยมีสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเป็น 0% จากสหรัฐฯ ภายใต้โครงการ GSP จำนวนกว่า 2,600 รายการ เช่น อาหารปรุงแต่ง เลนส์แว่นตา กรดมะนาวหรือกรดซิตริก ถุงมือยาง หีบเดินทางขนาดใหญ่ กระเป๋าใส่เสื้อผ้า และหลอดหรือท่อทำด้วยทองแดงบริสุทธิ์ไร้รอยต่อ เป็นต้น และขณะนี้แม้ว่าโครงการ GSP สหรัฐฯ ได้สิ้นสุดอายุไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563 และสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างการดำเนินขั้นตอนการต่ออายุโครงการ ส่งผลให้ผู้นำเข้าสินค้าที่เคยได้รับสิทธิ์ GSP สหรัฐฯ จะต้องชำระภาษีในอัตราปกติ (MFN rate) ไปจนกว่าโครงการจะได้รับการต่ออายุ ซึ่งผู้นำเข้าสามารถยื่นขอรักษาการใช้สิทธิ์ GSP ในการนำเข้าสินค้าได้ตามปกติ โดยที่ผ่านมาสหรัฐฯ จะทำการคืนภาษีเมื่อโครงการได้รับการต่ออายุ