กรมการค้าต่างประเทศเผยประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่อง กำหนดให้ทรายเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2566 จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.66 เป็นต้นไป ขอผู้ที่ต้องการจะส่งออกศึกษาให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่อง กำหนดให้ทรายเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2566 ซึ่งมีสาระสำคัญกำหนดห้ามส่งออกทรายทุกชนิด ตามพิกัดศุลกากร 25.05 ยกเว้นกรณีส่งออกเป็นตัวอย่างหรือศึกษาวิจัย หรือนำติดตัวออกไปเพื่อใช้เฉพาะตัวในปริมาณไม่เกิน 2 กิโลกรัม หรือกรณีส่งออกไปเพื่อใช้ในยานพาหนะปริมาณให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.2566 เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ กรมฯ ได้ดำเนินการทบทวนแก้ไขปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลการส่งออกสินค้าทรายภายใต้ประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว ลงวันที่ 28 เม.ย.2566 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าและเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้เกิดความชัดเจน ลดปัญหาการใช้ดุลยพินิจ และอำนวยความสะดวกทางการค้า ประกอบกับลดความซ้ำซ้อนทางกฎหมายในการกำกับดูแลการส่งออก เพราะปัจจุบันแร่ที่มีทรายเป็นส่วนประกอบได้กำหนดมาตรการภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2560 แล้ว
สำหรับทรายเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมคอนกรีต อุตสาหกรรมแก้วและกระจก และอุตสาหกรรมชิพซิลิคอนดักเตอร์ เป็นต้น โดยในปี 2565 ไทยมีการส่งออกทราย ปริมาณ 885.11 ตัน มูลค่า 17.46 ล้านบาท ขณะที่มีการนำเข้าในปริมาณ 1,817,029 ตัน มูลค่า 1,326 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันทรายมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้า
นอกจากนี้ ในการขุดทรายทำการค้าดังกล่าว มักจะทำให้เกิดปัญหาตลิ่งริมแม่น้ำพัง หากไม่มีการเตรียมความพร้อมด้านวัตถุดิบและยังคงมีการส่งออกตามเดิม ในอนาคตอาจทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวสูญเสียความสามารถในการแข่งขันได้
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว มีผลบังคับใช้ จึงขอให้ผู้ประสงค์จะส่งออกสินค้าดังกล่าวศึกษาและทำความเข้าใจประกาศกระทรวงพาณิชย์ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ การฝ่าฝืนประกาศกระทรวงพาณิชย์ จะมีความผิดตามพ.ร.บ.การส่งออกไปนอกฯ พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สอบถามรายละเอียดได้ที่ DFT Call Center โทร 1385 หรือกองบริหารการค้าสินค้าทั่วไป โทร. 0 2547 5124